ข่าวทนาย - 'ส่วนต่างดอกเบี้ย'
แบงก์ 'ฮั้ว' ในนามกลไกตลาด
ทนายคลายทุกข์ขอนำข่าวเกี่ยวกับสถาบันการเงิน เกี่ยวกับความเห็นต่างต่อประเด็นส่วนต่างดอกเบี้ยหรือสเปรด (SPREAD) ของแบงก์พาณิชย์ ซึ่งจับคู่วิวาทะระหว่าง
‘กรณ์ จาติกวณิช’ รมว.คลัง ที่เปิดประเด็นเหน็บแบงก์กินส่วนต่างดอกเบี้ยถึง
6% ไม่เป็นธรรมต่อ ผู้กู้และผู้บริโภค
และเรียกร้องให้แบงก์รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการหดสเปรดลง
ก่อนถูกสวนกลับจาก ซีอีโอ เคแบงก์
‘บัณฑูร
ล่ำซำ’ ที่นอกจากจะออกมายืนยัน ‘แบงก์ไม่มีฮั้ว’แล้ว ยังอ้างถึง
ประเด็นดอกเบี้ยที่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเหมาะสมกว่าการเข้าแทรกแซงโดยทางการ
ถึงแม้ว่าขณะนี้จะไม่ได้ปรากฏชัดว่าทางการเข้าแทรกแซง
แต่การออกมาให้ความเห็นถึงส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงของแบงก์
ก็เหมือนการแทรกแซงทางวาจา
พร้อมกันนี้ ‘บัณฑูร’ ยังยกโจทย์ที่ธุรกิจ
(แบงก์) ต้องทำกำไร สร้างความมั่นใจ
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่ถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) กำกับดูแลอยู่
วิจารณ์จบซีอีโอคนดังแล้ว
เสนอทางออกให้ทางการไว้ 2 ทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เหมาะสม คือ หนึ่ง
ให้แบงก์รัฐนำขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อลดส่วนต่างดอกเบี้ย
หรือแนวทางที่ สอง คือ ทางการกำหนดราคา ซึ่งหมายถึง
กำหนดความเหมาะสมของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
บีบแบงก์ลงดบ.ตามกนง.
ทั้งนี้ทั้ง 2 แนวทางข้างต้น
ไม่มีเสียงขานรับจากทางการ เห็นได้หลังเสียงท้าทายให้ทางการใช้แบงก์รัฐนำร่องเรื่องดอกเบี้ย
‘ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล’ ปลัดคลัง ให้ความเห็นว่า
ไม่จำเป็นต้องใช้แบงก์รัฐนำ เพราะการลดดอกเบี้ยนโยบายโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นการส่งสัญญาณอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับแนวทางหลังซึ่งใน
อดีตเคยมีข้อเสนอกำหนดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากหลายฝ่าย
เพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดตายตัวไปแล้ว
อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
ธปท.เห็นใจแบงก์
การถกเถียงเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยขยายวงกว้างออกไปเมื่อทั้ง
2
ฝ่ายมีผู้สนับสนุน เช่น ความเห็นของบัณฑูรมีเสียงเชียร์จาก ดร.
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วง 3-4
ปีที่ผ่านมานี้ ท่าทีของแบงก์ชาติเองเปลี่ยนไป
จากเดิมที่มองแบงก์พาณิชย์อย่างใกล้ชิดและมักเรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันทั้ง
2 ขา (ดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยเงินกู้)
แต่ในระยะหลังมานี้แบงก์ชาติมักอ้างกลไกตลาดสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของแบงก์พาณิชย์
ท่าทีที่ดูเป็นมิตรกับแบงก์พาณิชย์มากขึ้นของแบงก์ชาติ
ทำให้อดีตนายแบงก์ ‘วิโรจน์ นวลแข’ อดีตกรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทย
และอดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทรฯ
ที่เคยถูกแบงก์ชาติยุค ม.ร.วปรีดิยาธร เทวกุล
อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ
ปฏิเสธการกลับมานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทยสมัยที่สองออกมาให้ความเห็นแบบไม่เกรงใจว่า
แบงก์ชาติในฐานะผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน ‘ไม่เหลียวแล’ กำกับแบงก์เรื่องส่วนต่างดอกเบี้ย
และเหน็บกลับวาทะ ‘บัณฑูร’ ว่า ‘ไม่ฮั้วก็เหมือนฮั้ว’ โดยยกข้อเท็จจริงที่แบงก์ไม่สามารถปฏิเสธได้คือ
การปรับขึ้นและลดอัตราดอกเบี้ยทุกครั้งเท่ากันและในเวลาที่พร้อมกัน
อดีตนายแบงก์วิจารณ์
ทิ้งท้ายว่าปัญหาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในตลาด
เกิดจากคู่แข่งในระบบสถาบันการเงินมีไม่เพียงพอ เมื่อผู้มีอำนาจไม่สนับสนุนให้มีการแข่งขันอย่างแท้จริง
หากสถานภาพสถาบันการเงินไทยยังอยู่แบบเดิม
โอกาสที่ส่วนต่างดอกเบี้ยจะแคบลงแทบไม่มี
ยุคเสือนอนกิน
ย้อนกลับมาดูข้อเท็จจริงในอดีต 10-20
ปีที่ผ่านมา หรือยุคที่แบงก์มักถูกประณามว่าเป็น ‘เสือนอนกิน’
แต่ข้อเท็จจริงปัจจุบัน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net
Interest Margin :NIM) ที่ปรากฏในรายงานงบดุลแบงก์สูงสุดขณะนี้อยู่ที่ระดับไม่เกิน
4.00% ไม่ใช่ต่างกันถึง 2 หลัก
เหมือนเช่นในอดีต
แม้ว่าระดับของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี
(เอ็มแอลอาร์) จะอยู่ที่ 6.50%
เทียบกับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีที่ 1.25-1.75% หักลบแล้วสเปรดแบงก์ควรจะอยู่ที่ 4.75-5.25
% แต่เมื่อรวมค่าใช้จ่ายด้านปฏิบัติงาน ค่าภาษี
และค่าดำเนินงานของแบงก์แล้ว ส่วนต่างดอกเบี้ยแบงก์ที่แท้จริงเหลือไม่ถึง 4.00
%
เห็นได้จากส่วนต่างดอกเบี้ย ปี 2551
แบงก์กรุงเทพอยู่ที่ 3.4% แบงก์กรุงไทย 3.85% แบงก์ไทยพาณิชย์ 3.9% แบงก์กสิกรไทย 4.0% แบงก์นครหลวงไทย 3.25% แบงก์ทหารไทย 2.65% เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันแบงก์สามารถอธิบายที่มาที่ไปของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่าในอดีต
แต่คำถามที่แบงก์พาณิชย์ยังไม่สามารถตอบได้อยู่ ก็คือ การส่งสัญญาณของแบงก์ชาติ
ที่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน )ลงแล้วถึง 1.75%
นับตั้งแต่ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)3 ธ.ค. 2551 และ ผลประชุม กนง. 14
มกราคม 2552)
เทียบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของแบงก์
แม้ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทั้ง 2 ขา คือ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
แต่เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง
หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2 ครั้ง แบงก์พาณิชย์ตอบสนองด้วยการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงไม่ถึง
1.00% แต่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไปแล้วมากกว่า 1.00
%
แบงก์เพิ่มเงินฝากออมทรัพย์
ภาพสะท้อนในอุตสาหกรรมแบงก์ในปี 2552
ที่จะได้เห็น คือ
แบงก์ต้องพยายามรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไม่ให้ต่ำกว่าระดับที่เคยได้รับ
ซึ่งจะดำเนินการผ่าน การปรับลดต้นทุนทางด้านเงินฝาก
เห็นได้จากในปีนี้หลายแบงก์มีแผนปรับโครงสร้างระหว่างสัดส่วนเงินฝากประจำ
และเงินฝากออมทรัพย์กับเงินฝากกระแสรายวัน เพื่อลดภาระต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝาก
ยกตัวอย่าง แบงก์กรุงศรีอยุธยา ซึ่ง ‘ตัน คอง คูน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนฐานเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์จาก 33% เป็น 34 % ขณะที่ ‘ชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์’
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบงก์นครหลวงไทย
มีแผนปรับสัดส่วนเงินฝากประจำต่อสัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์จาก 75
: 25 เป็น 70 : 30
เพื่อลดต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.39% ในปี 2552 จากปี 2551 ซึ่งต้นทุนการเงินอยู่ที่ 2.39% และปี 2550 อยู่ที่ 2.62 %
อย่างไรก็ดีกรีวิวาทะว่าด้วยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลง
เมื่อรัฐมนตรีคลังคน จุดประเด็น ขอถอนคำพูด
ด้วยการออกตัวชี้แจงว่า
ทางการไม่ได้มีแนวคิดเข้าไปแทรกแซงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
แต่สาเหตุที่เคยให้ความเห็นในช่วงเวลาดังกล่าวเพียงแค่ต้องการพูดเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน(จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย)ที่ไม่เป็นธรรม
หรือ นัยหนึ่งคือไม่ต้องการพูดให้แบงก์พาณิชย์ไม่สบายใจแต่ต้องการแสดงความเห็นใจประชาชนตามประสานักการเมืองเท่านั้น
ถึงรัฐมนตรีคลังจะขอถอนตัวจากสงครามความคิดที่ตัวเองเปิดฉากขึ้น
แต่แบงก์ก็ยังคงต้องตอบคำถามต่อสังคมอยู่ดี
เพราะข้อเท็จจริงจากตัวเลขกำไรสุทธิของแบงก์พาณิชย์ทั้งระบบปี 2551
ที่สูงกว่า 80,000 ล้านบาท
ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่มาที่ไปของกำไรก็มาจากสเปรดแบงก์นั่นเอง
ตัวเลขกำไรข้างต้นไม่ต่างจากคำถามว่า
ด้วยที่มาที่ไปของสเปรดอัตราดอกเบี้ยที่บรรดานายแบงก์เพียรอธิบายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านนั้นยังไม่เคลียร์
และทิ้งเป็นปมให้นักการเมืองหยิบยกมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างนิยมทางการเมืองเป็นคราวๆเช่นเดียวกับเรื่องภาษีมรดก
ภาษีที่ดิน โดยที่ไม่ใครคิดจะหาข้อเท็จจริงมาให้ประชาชนรับรู้กันว่าแท้จริงแล้ว
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ “ยุติธรรม” หรือแบงก์
“ฮั้วในนามของกลไกตลาด” .
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ