ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
ทนายคลายทุกข์ขอนำความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จากหนังสือ “ครอบครัว โดยประสพสุข บุญเดช” ซึ่งเป็นเรื่องสมาชิกสอบถามเข้ามาที่ทนายคลายทุกข์เป็นจำนวนมาก ว่าจะถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะมีส่วนในทรัพย์สินหรือไม่ ซึ่งท่านที่กำลังมีปัญหาเรื่องทรัพย์สิน
สามารถศึกษาได้จากข้อมูลที่ทนายคลายทุกข์นำมาเสนอ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหนังสือของคุณประสพสุข
สามีภริยาได้ทำการสมรสกัน ตั้งแต่วันที่ 1
ตุลาคม 2478 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ได้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ 5 แล้ว โดยมิได้จดทะเบียนกันนั้น
ไม่ถือว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมาตรา 1457 บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า
การสมรสจะมีได้เมื่อได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วเท่านั้น
ชายและหญิงที่อยู่ด้วยกันดังกล่าวจึงไม่เป็นคู่สมรสต่อกัน
บุตรที่เกิดมาก็ถือว่าเป็นบุตรของหญิงฝ่ายเดียว สินส่วนตัวและสินสมรสไม่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามทรัพย์สินที่ชายหญิงคู่นี้ได้ลงทุนร่วมแรงทำมาหาได้ร่วมกัน ระหว่างที่อยู่กินด้วยกันนั้น
ถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันและมีส่วนในทรัพย์สินเหล่านั้นคนละครึ่งเท่ากัน ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรม
เพราะการที่ชายหญิงแต่งงานกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส แม้ทางกฎหมายจะไม่ถือว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่ก็หาการกระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่ชายหญิงจะพึงมีได้ตามกฎหมายทั่วไปไม่
ตัวอย่างเช่น สามีภริยาไม่ได้จดทะเบียน
หญิงขายทรัพย์ของตนเองเอาไปซื้อที่ดินและกระบือลงชื่อชายถือกรรมสิทธิ์ทำกินร่วมกันมา ชายตาย ถือว่าชายหญิงเป็นเจ้าของร่วมกัน หรือ
หญิงชายอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส
ได้ร่วมกันซื้อนาและทำกินเป็นการแสดงเจตนาให้ถือได้ว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน
ส่วนเงินที่ซื้อฝ่ายใดจะยืมใครมาเป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์
เพราะหญิงคนนั้นระคนปนทรัพย์กันใช้สอยและทำมาหากินด้วยกัน
ต้องถือว่าต่างมีสิทธิเป็นเจ้าของคนละครึ่ง เป็นต้น หลักการเช่นว่านี้ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ศาลอุทธรณ์แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็ได้วินิจฉัยในทำนองเดียวกันว่า
แม้สามีภริยามิได้สมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ด้วยกันก็จะต้องนำมาแบ่งปันเป็นคนละครึ่งเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีสำหรับทรัพย์สินที่ต่างคนต่างทำมาหาได้แยกกันนั้นเป็นสิทธิของฝ่ายนั้นผู้เดียว
อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีส่วนแบ่งด้วยเพราะไม่ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474(1)
ฉะนั้น
สามีภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันสามีจึงไม่มีสิทธิฟ้องของแบ่งทรัพย์จากภริยาในส่วนทรัพย์ที่สามีมิได้ร่วมแรงร่วมทุนทำมาหาได้กับภริยาแต่อย่างใด
การลงทุนร่วมแรงทำมาหาได้ร่วมกัน
โดยหลักการแล้วหมายถึงการที่ชายและหญิงร่วมกันทำการค้าหรือดำเนินกิจการใดโดยเฉพาะเจาะจงแล้วได้เงินหรือทรัพย์สินมา
เงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวจึงจะถือว่าชายและหญิงเป็นเจ้าของร่วมกันในส่วนเท่ากัน หากชายรับราชการได้เงินเดือนเดือนละ
15,000 บาท เงินเดือนและค่าจ้างเป็นของชายหรือหญิง
เช่นว่านี้เป็นของตนเองโดยเฉพาะ หรือหญิงได้รับมรดกเป็นที่ดิน 3 แปลง
ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวก็เป็นของหญิงโดยลำพังเช่นเดียวกัน การที่ชายหญิงมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน ชายประกอบกิจการค้าส่วนหญิงอยู่บ้านเลี้ยงบุตร ดูแลบ้าน
ทำอาหารเลี้ยงดูครอบครัวเป็นเวลาหลายปี มีทรัพย์สินหลายสิ่งหลายอย่างเพิ่มขึ้น จะถือว่าการที่หญิงเป็นแม่บ้านดูแลครอบครัว
เป็นการลงทุนร่วมแรงทำมาหาได้ร่วมกันกับชาย
จึงมีส่วนแบ่งในทรัพย์สินส่วนนี้หรือไม่ ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ในปี
2512 ว่า การที่หญิงดูแลครอบครัวให้ชายเป็นการร่วมกันกับชาย
ทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินมาเป็นสมบัติร่วมกันแล้ว
ชายหญิงจึงมีส่วนในทรัพย์สินดังกล่าวเท่า ๆ กัน
มีข้อน่าสังเกตว่า
การที่ถือหลักว่าหญิงอยู่บ้านดูแลครอบครัวให้ชายที่ออกไปทำงานนอกบ้านได้มีชีวิตอยู่ด้วยความผาสุกเป็นการร่วมทุนร่วมแรงทำมาหาได้ร่วมกับชาย
อาจเป็นเหตุจูงใจให้ชายและหญิงมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียนกันให้ถูกต้องตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น เพราะแทบไม่มีผลแตกต่างกันกันในทางทรัพย์สินระหว่างการที่ชายหญิงจะจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดหามาได้โดยลำพัง
อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังคงมีส่วนแบ่งคนละครึ่งเช่นเดียวกับสินสมรส
โดยหลักการแล้วการที่ชายและหญิงมิได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย
ต่างฝ่ายต่างไม่มีหน้าที่ต้องอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาหรืออุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน
ฉะนั้นหญิงที่อยู่บ้านดูแลครอบครัวน่าจะเป็นเพียงการมีส่วนร่วมในการอยู่รวมกันโดยใช้แรงงานแทนเงินค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ เท่านั้น หาใช่เป็นการลงทุนร่วมแรงทำมาหากินด้วยกันกับชายอย่างแท้จริงไม่ หญิงเองก็มีความผาสุกในการกระทำดังกล่าวเช่นเดียวกับชายเหมือนกัน ในประเทศอังกฤษเมื่อปี 2527
มีคดีที่ชายหญิงภริยาคู่หนึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยามาเป็นเวลานานถึง
19 ปี โดยหญิงต้องลาออกจากงานมาดูแลบ้านและครอบครัวซึ่งมีบุตรด้วยกัน 2 คน
ชายหญิงคู่นี้มีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในบ้านที่บุคคลทั้งสองใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ศาลวินิจฉัยว่าหญิงไม่มีส่วนร่วมในการได้มาซึ่งบ้านหลังนี้ จึงไม่มีส่วนแบ่งใด ๆ
ในบ้านดังกล่าวแม้ว่าหญิงจะทำงานหนักมาหลายปีเท่ากับชายในค้ำจุนครอบครัวในแง่ของครอบครัวก็ตาม ฉะนั้นจึงน่าจะต้องรอดูต่อไปว่า ศาลฎีกาจะยังคงยืนยันหลักการเดิมหรือจะเปลี่ยนหลักการมาทำนองเดียวกับคดีของศาลอังกฤษเช่นว่านี้ในโอกาสต่อไป
สำหรับการที่ชายกับชายก็ดี หรือหญิงกับหญิงก็ดี มาอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยานั้น
เนื่องจากบุคคลทั้งสองไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ เพราะขัดต่อเงื่อนไขของการสมรสที่ฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นชาย และอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นหญิง
แต่ในทางด้านทรัพย์สินที่บุคคลทั้งสองทำมาหาได้ด้วยกันในระหว่างอยู่กินด้วยกันนี้ ต้องถือว่าบุคคลที่สองมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยมาตรา 1357
ให้สันนิษฐานว่าผู้เป็นเจ้าของร่วมกันมีส่วนเท่ากัน จึงต้องแบ่งกันคนละครึ่งเคยมีคดีที่โจทก์เป็นหญิงแต่มีนิสัยและทำตัวเป็นชาย มีอาชีพขายเนื้อโค กระบือ ส่วนจำเลยก็เป็นหญิงมีอาชีพเป็นนักร้อง โจทก์และจำเลยได้มาอยู่ร่วมกันในบ้านเดียวกันโดยจำเลยเลิกอาชีพดังกล่าวและทำพิธีเข้าถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับโจทก์ ระหว่างที่อยู่กินด้วยกันมาเกิดมีทรัพย์สินคือ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 3 แปลง
โดยที่ดินทั้งสามแปลงนี้มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงมาฟ้องขอแบ่งที่ดินดังกล่าว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้โจทก์จำเลยเป็นหญิงไม่สามารถจะเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย แต่ตามพฤติกรรมที่บุคคลทั้งสองได้อยู่ร่วมกันเป็นเวลาเกือบ
20 ปี
โดยจำเลยทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน
แต่ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์เองว่าบางครั้งจำเลยก็มาช่วยโจทก์ขายเนื้อในตลาด ในการซื้อ โค กระบือนั้น หากจ่ายเป็นเช็คก็ใช้เช็คของจำเลย แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยได้ร่วมกันทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินมาเป็นสมบัติของโจทก์จำเลยร่วมกัน
บรรดาทรัพย์ที่โจทก์หรือจำเลยทำมาหาได้ระหว่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยแรงหรือเงินของฝ่ายใดหาใช่ข้อสำคัญไม่
แต่ต้องถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่โจทก์จำเลยอยู่ร่วมกัน
จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายและความยุติธรรมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้โจทก์และจำเลยมีส่วนในทรัพย์สินที่พิพาททั้งหมดคนละกึ่งหนึ่ง”
พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้งสามแปลงนี้ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
ในกรณีที่ชายมีภริยาชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว
แต่มาได้หญิงอีกคนหนึ่งเป็นภริยาน้อยชายและภริยาน้อย ร่วมกันทำมาหาได้ทรัพย์สินใดมา
ทรัพย์สินที่ได้มานี้เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างชายกับภริยาน้อย
โดยภริยาน้อยมีส่วนครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งหนึ่งที่เป็นของชายเป็นสินสมรสชายกับภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่ถ้าภริยาน้อยไม่มีส่วนร่วมในการทำมาหาได้
ทรัพย์สินที่ได้มาเป็นสินสมรสระหว่างชายกับภริยาหลวงทั้งหมด เช่น
ชายกับภริยาน้อยร่วมกันทำการค้าได้กำไรไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง
หากจะต้องแบ่งที่ดินแปลงนี้ให้ภริยาน้อยครึ่งหนึ่งภริยาหลวงได้เศษหนึ่งส่วนสี่ และชายได้เศษหนึ่งส่วนสี่ เป็นต้น การร่วมกันทำมาหาได้ทรัพย์สินนี้น่าจะไม่จำเป็นต้องร่วมกันทำการค้า หรือดำเนินกิจการโดยเฉพาะเจาะจงแม้เพียงชายไปทำมาค้าขายโดยตนเอง ส่วนภริยาน้อยเลี้ยงดูบุตรเป็นแม่บ้านอยู่รวมกันกับชายในบ้านหลังเดียวกัน
ก็อาจจะถือว่าร่วมกันทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินมาเป็นของชายและภริยาน้อยร่วมกันได้
แต่ทั้งนี้ชายและภริยาน้อยต้องมีถิ่นที่อยู่ต่างตำบลกันกับภริยาหลวงและมีทรัพย์สินอยู่
ณ ตำบลที่อยู่ของแต่ละคน
แสดงว่าได้แบ่งแยกเป็นส่วนสัดแล้ว
หากสามี ภริยา
และภริยาน้อยอยู่ร่วมบ้านเรือนเดียวกันหรืออยู่บริเวณใกล้ชิดมีช่องทางเข้าออกถึงกันได้
ถือว่าภริยาน้อยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของสามีในฐานะบริวารหรือนางบำเรอเท่านั้น
ภริยาน้อยไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในสินสมรสระหว่างสามีภริยาแต่อย่างใด
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือครอบครัว โดยคุณประสพสุข บุญเดช
ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลเพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ