ผู้กู้รายย่อยต้องเข้าหาแบงก์
เจรจา “ใช้ทรัพย์ชำระหนี้” ต้องจบ!
สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาคนตกงานในไทยเริ่มน่ากลัว
กำลังลามไปสู่การผิดนัดชำระหนี้จนก่อให้เกิดหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น
หากปล่อยให้สถานการณ์เหล่านี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่ลูกค้ารายย่อย
ธนาคารพาณิชย์ก็มีปัญหา แต่ที่ผ่านมาทุกครั้ง
ประชาชนมักจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด “วิโรจน์ นวลแข” จึงอาสามาให้คำปรึกษา “บริการทางการเงิน-หุ้น”
ทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน ภายใต้รูปแบบ “คลีนิคประชาชน” ท่ามกลางวิฤตเศรษฐกิจ
อย่างที่ไม่เคยมีผู้บริหารคนไหนเคยทำมาก่อน
สัปดาห์นี้ว่าด้วยแนวทางการเจรจาหนี้ที่เป็นธรรมเพื่อป้องกันการเกิด NPL บนเงื่อนไขที่ผู้กู้และแบงก์
ไม่เสียหายแต่ยังวินวิน ... ทั้งคู่!
ภาวะเศรษฐกิจทำคนตกงานส่งผลต่อหนี้เสียแบงก์
ต้องมีแนวทางเข้ามาดูแลแก้ไข อย่างแรก การผิดนัดชำระหนี้เกินกว่ากำหนด
ที่ผ่านมา ผู้ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องก็คือ เครดิตบูโร
แต่ก็เป็นได้แค่ศูนย์กลางการส่งสาร ส่วนนี้ควรจัดทำระบบสกอริง
(Scoring) ที่ดี ช่วยให้คนมีเครดิตบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เรื่องร้ายไปให้เขา
ตรงนี้ก็ต้องรอว่าอยู่ระหว่างการจัดเครดิตสกอริง
แต่เพื่อเป็นการป้องกันว่าเครดิตบูโรทำให้เราเสียหาย
เพราะเอาข้อมูลไปแล้วยังไม่ได้ทำสกอริง
ก็ต้องมาดูกันที่ตัวต้นเหตุที่นำมาสู่ปัญหา นั่นก็คือ “ตัวผู้กู้กับธนาคารผู้ให้กู้”
เราจะเห็นพฤติกรรมผู้กู้รายย่อย
เวลาไปกู้มักจะให้ความสำคัญมากเลยกับแสดงตัวว่าอยากจะได้เงินกู้
แต่พอเวลาเป็นหนี้มีปัญหากลับไม่ยอม ไม่กล้าที่จะแสดงตัว
ทั้งๆที่ตอนที่มีปัญหาน่าจะพูดกับธนาคารมากกว่าตอนขอกู้ แต่กลับหลบ
ทั้งๆที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีกฎระเบียบอยู่แล้วว่า ถ้าใครไปปรับโครงสร้างหนี้แล้ว
ไม่ว่าเป็นในเงื่อนไขที่ดอกเบี้ยสูง ดอกเบี้ยต่ำ หรือปลอดดอกเบี้ยก็ตาม
ธนาคารต้องถือว่าไม่เป็นเอ็นพีแอล
ก็จะไม่ปรากฏรายชื่อของเครดิตบูโร
แต่เราจะไปโทษรายย่อยก็ไม่ถูกต้องนัก
แน่นอน
หากมีปัญหาตอนนี้จึงเป็นช่วงที่ผู้กู้จะต้องรู้จักเข้าไปคุยกับธนาคารที่เรากู้อยู่
อธิบายถึงความจำเป็น เพื่อความเข้าใจ ด้านธนาคารเองก็ต้องรู้ว่า
ภาวะที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันอยู่เหนือความควบคุม เหตุมันเกิดเพราะ หนึ่ง
เศรษฐกิจโลกตกต่ำ สอง การเมืองในประเทศไม่นิ่ง สาม การประกาศมาตรการความช่วยเหลือของ
2 รัฐบาลที่ผ่านมา ไม่มีความชัดเจน มาถึงรัฐบาลนี้ก็ยังเพิ่งเริ่ม เพราะฉะนั้น
ในช่วงที่คนกำลังจะถูกปลดออกจากงานระยะๆ
มันจะเกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่คล้ายว่าทุกคนจะต้องเห็นใจซึ่งกันและกัน
ดังนั้นธนาคารมีบทบาทสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้กู้ แต่ที่ผ่านมาธนาคารไม่ได้ทำหน้าที่กับรายย่อยเท่าที่ควร
ธนาคารเองต่างหาก ที่ไปเร่งรัดลูกหนี้ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร
ลูกหนี้เองมีปัญหาหลบหน้าธนาคารไปก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน
ทุกคนต้องหันมาทำความเข้าใจกันว่าเรื่องเหล่านี้มันมีทางออก กฎเกณฑ์ก็มีอยู่อย่างที่บอกไปแล้ว
ซึ่งเป็นกรณีใช้มาตั้งแต่ปี 2540 คราววิกฤตต้มยำกุ้ง
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ก็คือต้องการให้ทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้อยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้
ซึ่งกฎเกณฑ์ก็ยังมีผลใช้อยู่ ที่สำคัญคือต้องเปิดใจคุยกัน
ผ่อนผันกันเท่าที่จะทำได้หรือให้ได้
ตอนนี้เป็นตอนที่ทุกคนอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างจะเศร้า
เศรษฐกิจก็ไม่ดี งานก็จะไม่มีทำ หาเลี้ยงชีพก็ลำบาก
ซึ่งธนาคารก็ต้องเข้าใจถึงสถานภาพที่เป็นอยู่
เข้าใจว่าการตกงานเป็นเรื่องลำบากของชีวิต เพราะฉะนั้นวิธีการก็คือ
ทำอย่างไรที่จะยืดหนี้ให้เขาได้
วิธีการที่สองที่ธนาคารจะทำได้
คือ ถ้าลูกหนี้ยอมชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินที่เขามีอยู่ แล้วเรื่องต้องจบ
ไม่ใช่ว่าพอชำระแล้วเอาไปขาย แล้วไม่พอกับมูลหนี้
แล้วก็ต้องมาฟ้องเรียกคืนส่วนขาดอีก มันไม่ได้
อย่างรถยนต์นี่ เอามาชำระแล้ว เอาไปขายได้ราคาบ้าบอคอแตกอะไร
ที่เหลือมาฟ้องร้องเรียกคืนอีก มันไม่ถูก ต้องตกลงตั้งแต่ต้นเลยว่า ถ้าเอาของผมไป
ขายได้แล้ว เสร็จแล้วต้องจบ
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องแก้เกณฑ์หรือมาตรฐานของธนาคารอะไรเลย
เพราะเป็นเรื่องที่ตกลงกันระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้
ชำระหนี้ด้วยทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ก็จบได้
สุดท้ายหากลูกหนี้ไม่ได้ไปติดต่อเวลามีปัญหา
กระบวนการต่อไปก็จะต้องฟ้องร้อง บังคับจำนอง
ตรงนี้เป็นขั้นตอนที่ไม่เอื้อต่อทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้เลย
เพราะกฎกติกาก็คือเมื่อถูกบังคับจำนอง ราคาขายวันนี้ 100% ปรากฏว่าถ้าขายไม่ได้
ครั้งที่ 2 สามารถตั้งราคาลดลงได้ 50% เลย ยังขายไม่ได้อีก ครั้งที่ 3
นี่ลดลงเหลือ 25% ได้เลย อันนี้มันไม่แฟร์ต่อใครเลย
ลูกหนี้ก็ไม่แฟร์ เจ้าหนี้ก็ไม่แฟร์
เพราะว่ามันทำให้ภาระหนี้สินไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือผู้ที่มาซื้อตอนราคา 25% จริงๆแล้วประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่
ก็ไม่ได้ มันเป็นขายที่เรียกว่าระบบ Fire Sale คือการบังคับให้ทรัพย์ขายออกไปโดยไม่เป็นประโยชน์
ไม่เพียงส่งผลต่อลูกหนี้และเจ้าหนี้
ยังส่งผลเสียหายไปถึงไปพื้นที่บริเวณรอบๆทรัพย์นั้นด้วย จะได้รับผลกระทบไปหมด
มีคนที่รับประโยชน์อยู่คนเดียวก็คือคนที่มาซื้อไปในราคาถูก คนอื่นไม่แฮปปี้เลย ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหนี้ ลูกหนี้
หรือคนที่รอบข้างหรือมีที่ดินใกล้เคียงกันไม่ได้ประโยชน์
เพราะทำให้ราคาที่ดินของเขาตกตามไปด้วย
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐถึงทำอย่างนี้ ทำให้ทรัพย์สินในประเทศที่ลดลง
ก็เพราะระบบแบบนี้ มันไม่ได้เป็นกระบวนการที่ช่วยประชาชน
มันเป็นกระบวนการที่คล้ายๆว่าให้เกิดถ่ายโอนทรัพย์ไปในสิ่งที่ไม่ควรเป็น
ลูกหนี้ก็แย่ เจ้าหนี้ก็แย่ คนที่อยู่รอบๆทรัพย์ก็แย่ ขายเหมือนขายโละทิ้ง
ซึ่งการขายแบบนี้กรณีเดียวที่ทำได้คือเป็นของที่อยู่สต๊อกนานแล้ว
เจ้าหนี้ได้ถือที่ดินแปลงนี้เป็นระยะเวลาอันควร ถึงจะทำได้ เช่น 5 ปี 10 ปี หรือ
15 ปีขึ้นไป แต่จริงๆแล้วทรัพย์ที่ถือยาวน่าจะราคาเพิ่มขึ้น
สรุปก็คือกรณีการขายลดจาก
100% 50% มา 25% ของกรมบังคับคดี ควรเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้ถือมาระยะหนึ่งแล้ว
เพราะการขายทรัพย์แบบนี้จะเป็นการเปิดช่องให้นายทุนที่มีเงินมากเห็นช่องทางที่จะเข้ามาซื้อทรัพย์ในราคาที่ถูก
ซึ่งรีบร้อนขายแบบนี้บางที่ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ยังไม่รู้เลยว่าทรัพย์ของตัวเองถูกขายไปแล้วในราคา
25% เพราะไม่มีใครตั้งตัวทัน ทำให้ไปเป็นประโยชน์กับบุคคลที่สาม
ไม่ใช่ประโยชน์คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว
จะทำระบบอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดกรณีอย่างนี้ขึ้นอีก
ก่อนที่จะมีการฟ้องร้องควรจะระบบหรือระเบียบที่จัดตั้งออกมาว่า
ลูกหนี้กับเจ้าหนี้สามารถเจรจาชำระหนี้ได้แล้วก็ต้องมาต้องโจทย์ว่าโดยพื้นฐานอะไร
ก็คือต้องมีสำนักงานประเมินที่ได้รับการอนุญาตแล้ว
มาเป็นคนกลางในการประเมินมูลค่าทรัพย์ เมื่อราคาประเมินออกมาแล้ว
ราคาขายก็ไม่ควรบวกลบจากราคาขายมากนัก แต่เท่าที่ทราบก็มีกรณีว่าประเมินราคาออกมาสมมติ
250 ล้านบาท แต่ธนาคารเอาแค่ 175 ล้านบาทเท่านั้น
ที่เหลือจะฟ้องเอาซึ่งตรงนี้ไม่กฎเกณฑ์กฎหมายอะไรเข้ามาช่วย
ฉะนั้นตรงนี้เราต้องการเหลือเกินถึงระเบียบที่จะต้องบอกถ้าไม่ต้องมีการฟ้องบังคับจำนองกันเป็นเจรจายอมกันชำระหนี้กันปกติจะมีกฎกติกาอะไรให้เล่นได้บ้าง
บริษัทประเมินทรัพย์สินที่มีไลน์เซนส์
(ใบอนุญาต) อยู่แล้ว ซึ่งมีอยู่หลายแห่งนี้ ทำไมไม่ใช่ตัวนี้ให้เป็นประโยชน์
โดยเป็นคนที่จะให้ราคาทรัพย์ได้ มันควรจะมีกติกากลาง
แล้วมันควรจะจบได้ตั้งแต่ตอนที่ลูกหนี้เอาทรัพย์มาชำระหนี้แล้ว
ถ้ามีกติกาที่เป็นพื้นฐานอยู่ เจ้าหนี้ก็ต้อง “เยส”
ลูกหนี้ก็ต้อง “เยส”
ไม่ใช่เจ้าหนี้จะเป็นฝ่ายมาบีบเอาว่าทรัพย์นี้จะเอาราคาเท่านี้
หรือเอาไปบังคับจำนอง แล้วถูกไปบีบราคาลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะกระทบคนในวงกว้าง
ต้องมีตรงนี้ก่อนที่จะไปถึงขั้นการฟ้องร้อง
นอกจากนี้
อย่าลืมว่าการขายระบบทอดตลาดแบบ 100% 50% 25% นี่ต้องคิดด้วยว่า
การรับจำนองเป็นราคาที่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ตกลงยอมรับกันแล้ว
แต่ทำไมราคาตกลงมากขนาดนี้ แล้วพอมาขายจริงถึงได้ราคาต่ำขนาดนี้ ได้แค่ 25% ขนาด
50%ก็คิดได้ยากแล้ว แต่ตรงจุดนี้ ราคาที่ลดลงอาจจะเป็นเพราะขายยาก ขายได้ช้า
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อมูลไม่ดี จึงต้องมีการจัดข้อมูลกลางของบ้านมือสอง
เพื่อรองรับด้วย
“ตกงาน บ้านถูกยึด ตัวเองยังเป็นหนี้ต่อ ความเครียดในสังคมก็จะเกิดขึ้นมาก
ตอนนี้คนจะทุกข์ใจเรื่องนี้มาก ตกงาน ไม่มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ
แล้วก็กลัวจะต้องถูกบังคับขายในราคาที่ต่ำ ก็จะทำให้ราคาบ้าน
ราคารถมือสองโดยภาพรวมราคาลดลงเร็วมาก ซึ่งเป็นเพราะไม่มีดูแลระบบการขายให้สมบูรณ์
แล้วถ้าทำระบบตรงนี้ ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้อีกอย่างคือการต้องไปกู้ยืมหนี้นอกระบบจนทำให้หนี้สินล้นพ้นตัว
กลายเป็นปัญหาระดับชาติไปอีก”
ในส่วนหนี้บัตรเครดิตตอนนี้มีปัญหาเหมือนกัน
หนี้บัตรเครดิตจะถูกกำหนดโดยทางการให้ลูกหนี้บัตรเครดิตต้องชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ในระดับที่กำหนด แต่ด้วยความเป็นบัตรเครดิตมันควรจะปล่อยตามเทอมการค้า
สมมติว่าถ้ามีหนี้สินบัตรเครดิตอยู่ แล้วตกงาน เขาก็น่าจะยืดเวลาได้ 1 ปี 2 ปี
หรือ 3 ปีก็ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควรกับลูกหนี้แต่ละราย
จะมายึดรูปแบบเดิมว่าต้องผ่อนชำระให้มากๆ เพื่อดูวินัยการใช้เงิน มันเป็นไปไม่ได้
บัตรเครดิตก็ถือเป็นสินเชื่อรูปแบบหนึ่ง
มันย่อมให้ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ได้ ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องรีบใช้
ถือเสมือนเป็นสินเชื่ออย่างหนึ่งของธนาคาร
ซึ่งในภาวะอย่างนี้ควรจะมีการตกลงกันได้เป็นราย เป็นกรณีๆ ไป
ต้องมีการเลื่อนชำระหนี้ ลดจำนวนผ่อนส่งได้ เป็นต้น
เพราะเจ้าหนี้และลูกหนี้ก็มีความต้องการเหมือนกัน ก็คือ ไม่อยากจะให้หนี้เสีย
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีช่องให้เขาขยับด้วย
แล้วก็ปัญหาอีกอันที่เจ้าหนี้มักกล่าวอ้างกัน คือคุณเซ็นสัญญาไปแล้ว
ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ตรงนี้เจ้าหนี้ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า
การเซ็นสัญญาตอนนั้นใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์ที่อยู่เหนือความคาดหมายการควบคุมจะเกิดขึ้นในโลก
เซ็นสัญญาที่ทำไปแล้วแก้ไขได้ ทำสัญญาแนบท้ายได้เป็นการอะลุ้มอล่วยให้ทั้งคู่รอด
ไม่ใช่ตะแบงว่าเซ็นสัญญาไปแล้วต้องตามนี้
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันไม่ได้เกิดที่เรา
แม้แต่ปัจจัยประเทศไทยก็ควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้น เครดิตสกอริงก็ดี
National
Housing Policy ก็ดี
กระบวนการประนอมหนี้ที่การชำระหนี้ด้วยทรัพย์ต้องจบตรงนั้นต้องมี
“การเอาทรัพย์สินไปชำระหนี้ ต้องจบ
เพราะราคาทรัพย์ของลูกหนี้เพียงพออยู่แล้ว ไม่งั้นแบงก์คงไม่ให้กู้
ส่วนหรือถูกบังคับจำนอง แล้วเอาไปได้มา 50% มันไม่ไหวทารุณเกินไป
แถมยังไม่จบยังต้องมีหนี้อีก
คนๆนั้นเลยเป็นกลายคนที่ชาตินี้ไม่ต้องเกิดกันในทางเครดิต
ถ้ามีคนอย่างนี้เยอะๆขึ้นแล้วประเทศมันจะไปรอดหรือ
เราต้องเลิกระบบที่ให้ลูกหนี้ชำระหนี้แถมจ่ายดอกเบี้ยไม่จบสิ้น นี่ยังไม่พูดถึงภาคเกษตรกรที่ควรจะมีระบบนี้เช่นกัน
ควรจะมีการพักชำระหนี้ให้ยาวขึ้น หนี้ก้อนใหม่ต้องปล่อยให้ทำกิน
แล้วค่อยเก็บตามฤดูกาลพืชผล ไม่งั้นก็ไม่ไหว”
ใครหรือหน่วยงานไหนเป็นผู้ดำเนินการให้เป็นจริง
ต้องเป็นรัฐบาล เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของความอยู่รอดของคนส่วนมากกับสังคมโลกที่มันเปลี่ยนไป
เพราะสังคมโลกตอนนี้มันไม่ได้พูดถึงการได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าแล้ว
หรือการเสียวินัยทางการเงินแล้ว แต่พูดถึงการอยู่รอดแล้ว
เพราะมันไม่มีใครจะรอดได้ถ้าเศรษฐกิจโลกพังพินาศ เพราะมันเป็นระบบใหญ่
ไม่ได้มารอดูเรื่องการชำระหนี้ให้ตรงเวลาแล้ว เพราะฉะนั้น
เจ้าหนี้ก็ต้องให้โอกาสลูกหนี้ ลูกหนี้ก็ต้องมีโอกาสที่จะทำตัวให้รอด
ดีกว่าทำให้ทุกคนล้มละลายหมด แล้วเดี๋ยว 3 ปีก็มาเจอกันอีก
ขอขอบคุณ
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ