จัดระเบียบค่าธรรมเนียม+ดอกเบี้ย
มะกันคุมเข้มธุรกิจบัตรเครดิต
ข่าวทนายคลายทุกข์วันนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาจะออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการออกบัตรเครดิตสำหรับผู้บริโภค
โดยตามกระบวนการออกกฎหมายขณะนี้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว
หลังจากผ่านออกมาจากสภาล่างเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา อีกทั้ง ประธานาธิบดีบารัก
โอบามา
ยังประกาศเสียงเข้มว่าเขาต้องการเห็นร่างกฎหมายนี้ออกมาบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
ร่างกฎหมายการออกบัตรเครดิตดังกล่าวจะมีผลโดยตรงต่อเงื่อนไขการออกบัตรเครดิตในสหรัฐ
โดยมีเจตนารมณ์คุ้มครองผู้บริโภคและผู้ใช้บัตรไม่ให้ถูก
เอาเปรียบจากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรืออัตราดอกเบี้ยซ้ำซ้อนย้อนหลัง
แต่ในฝ่ายของบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต
ที่ต้องหารายได้จากค่าธรรรมเนียมและ
ส่วนต่างดอกเบี้ยของหนี้ค้างชำระบัตรเครดิตแล้ว
กฎหมายใหม่นี้กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับธุรกิจนี้อยู่ไม่น้อย
ท่ามกลางสถิติการใช้บัตรเครดิตที่ลดลงของผู้บริโภค เนื่องจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
ทำให้บริษัทผู้ออกบัตรต้องปรับอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงและเข้มงวดกับการจัดเก็บเงินค้างชำระให้เร็วมากขึ้น
ประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับนี้
คือ การระบุให้บริษัทผู้ออกบัตรเครดิตต้องแจ้งกับลูกค้าหรือผู้ถือบัตรตั้งแต่ครั้งแรกของการสมัครใช้บัตรว่าจะจัดเก็บอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในกรณีมีเงินค้างชำระเท่าใด
แทนที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยจากส่วนต่างของวงเงินค้างชำระเมื่อตามระยะเวลาที่ผ่านไป
แล้วยังกำหนดให้บริษัทบัตรเครดิตต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญหลายเรื่อง
และจำกัดค่าธรรมเนียมให้เป็นแบบคงที่ ห้ามขึ้น
ดอกเบี้ยย้อนหลังในกรณีมีเงินค้างบัญชี
ขณะที่สมาคมธนาคารอเมริกันกลับแสดงความกังวลและระบุว่ากฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดข้อจำกัดของการเข้าถึง
สินเชื่อที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับผู้ถือบัตรเครดิตกลุ่มนักเรียน นักศึกษา
ผู้บริโภค และเจ้าของกิจการขนาดเล็ก
ส่วนสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกสหรัฐอเมริกา หรือ NRF ออกมาเรียกร้องให้วุฒิสภาพิจารณาการแก้ไขกฎหมายว่าควรต้องคำนึงถึงการดำเนินการของผู้ค้าปลีกที่ต้องการมอบส่วนลดราคาสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคในกรณีที่ต้องการเลือกชำระค่าสินค้าและบริการด้วยเงินสด
หรือ รูปแบบการชำระเงินอื่นๆ ที่มีราคาถูกกว่าการชำระด้วยบัตรเครดิตด้วย
สตีฟ ฟิชเตอร์
รองประธานอาวุโสของเอ็นอาร์เอฟ
ด้านกิจการความร่วมมือกับภาครัฐระบุว่า
ผู้ค้าปลีกน่าจะสามารถเสนอส่วนลดให้กับลูกค้าได้ตามกฎหมายโดย
ไม่ต้องถูกแทรกแซงจากบริษัทบัตรเครดิตเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค
เนื่องจากปัจจุบันธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตทั้งระบบวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดกำหนดให้ผู้ค้าปลีกต้องจ่ายเงินจากการชำระด้วยบัตรเครดิตดังกล่าว
2% ของราคาสินค้าและบริการที่ลูกค้ารูดบัตรชำระ โดยเมื่อปี 2551 มีรายได้จากการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียมนี้ 4.8
หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นภาระภาคครัวเรือนเฉลี่ยหลังละ 427 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐระบุว่า เมื่อเดือน
มี.ค.ที่ผ่านมาหนี้บัตรเครดิตลดลง 6.8% โดยมีหนี้ค้างชำระถึงเดือน มี.ค. 9.32 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าลดลงจากช่วงสูงสุดในเดือน ธ.ค. ที่อยู่ที่ระดับ
9.92 แสนล้านดอลลาร์
ขอขอบคุณ
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติ