คนฝากเงินสูญ7.6หมื่นล. ธปท.อ้างเหตุผลคงดอกเบี้ย1.25%
ทนายคลายทุกข์ขอนำข่าวเกี่ยวกับการเงิน แบงก์ชาติแข็งข้อ "กรณ์" ประกาศคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25%
"อัจนา" อ้างสารพัด ลดมากแล้ว กรี๊ด! รับไม่ได้คนฝากเงินโดนกดดอกเบี้ย
เผย 5 เดือนดอกฝากลด 1.96% ส่งผลรายได้ผู้ฝากเงินวูบ 7.6 หมื่นล้าน
พร้อมยอมรับความเสี่ยงในและนอกประเทศยังไม่หมด
เป็นใบ้ถูกถามทำไมแบงก์พาณิชย์ไม่ลดดอกเบี้ยเงินกู้
แต่ปากดีแขวะเสื้อเหลืองปิดสนามบินหนักกว่าแดงถ่อยสงกรานต์
แบงก์กรุงเทพขี่ม้าขาวประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% แม้จิ๊บจ๊อยแต่ก็ทำให้เอ็มแอลอาร์ต่ำสุดจนได้
นาง
“ขณะนี้เศรษฐกิจลงลึก ถือว่ายังติดลบอยู่ แต่ข่าวร้ายลดลง
ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายปีก่อนและในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า
ทำให้การใช้นโยบายการเงินน้อย การลดอัตราดอกเบี้ยเหมือนเชือก
แค่ดึงให้เศรษฐกิจเย็นลงแค่นั้น แต่ในยามที่ความไม่แน่นอนข้างหน้ายังมีอยู่ก็มีช่องหรือโอกาสใช้นโยบายการเงินได้
ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยไม่ได้ต่ำมากจนมองว่าไม่มีเครื่องมือแล้ว” นางอัจนากล่าว
ทั้งนี้
เมื่อวันที่ 19 ที่ผ่านมา นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า กนง.สามารถลดดอกเบี้ยลงได้อีก
0.25% เพราะขณะนี้ไม่มีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ
รองผู้ว่าฯ
ธปท.กล่าวอีกว่า
การคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไม่ได้หมายว่าประสิทธิภาพในการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ผล
และสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ในปัจจุบัน ธปท.ได้มีการป้องกันมาหลายครั้งแล้ว
จึงลดอัตราดอกเบี้ยมาหลายครั้ง แต่การตัดสินใจครั้งนี้แตกต่างออกไป
เพื่อตั้งหลักรอดูผลการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
รวมทั้งติดตามผลกระทบที่ทำให้รายได้ผู้ฝากเงินจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม แม้การพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้แล้ว แต่
ธปท.ไม่สามารถบังคับได้ว่าธนาคารพาณิชย์ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก
และจากการหารือระหว่างธนาคารพาณิชย์และ ธปท.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ธนาคารพาณิชย์ได้ให้เหตุผลว่าลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้น้อย
เพราะต้องดูแลความเสี่ยงท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอลง ดังนั้น
ธปท.ได้ให้แนวคิดธนาคารพาณิชย์ไปว่าการคิดค่าธรรมเนียมความเสี่ยงหรือต้นทุนอะไร
รวมทั้งคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ควรอยู่ให้สมเหตุสมผล
รองผู้ว่าฯ
ธปท.กล่าวว่า กนง.ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2.50%
ในช่วง 5 เดือนหรือ 4 ครั้งที่ผ่านมา
ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้วประมาณ
70%ของระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงหรือลดลงประมาณ 1.96%
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดไปประมาณ 50% หรือประมาณ 1.19% และล่าสุด ณ วันที่ 18
พ.ค.ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แท้จริงอยู่ที่ 7.05%
และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงอยู่ที่ 0.15%
ทำให้รายได้ของผู้ฝากเงินลดลงโดยเฉลี่ย 7.6 หมื่นล้านบาท
โดยผู้ฝากเงินประเภทออมทรัพย์มีรายได้ลดลง 4.6
หมื่นล้านบาทหรือเฉลี่ยแต่ละบัญชีรายได้ลดลง 115 บาทต่อปี
ขณะที่ผู้ฝากเงินรายใหญ่ที่เป็นเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 12 เดือนลดลง 4-7
แสนบาทหรือเฉลี่ยแต่ละบัญชีลดลง 6,000 บาทต่อปี ส่วนเงินฝากประจำประเภท 6 เดือน
ซึ่งมียอดเงินฝากประจำมากที่สุด ผู้ฝากเงินมีรายได้ลดลง 11,000
บาทต่อปีหรือเฉลี่ยแต่ละคน 1,100 บาทต่อปี
แต่ในส่วนของการปรับดอกเบี้ยเงินกู้ลงยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะส่งผลดีให้ผู้กู้แง่ลดภาระหรือลดปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) ได้มากน้อยแค่ไหน
เพราะผู้กู้แต่ละรายได้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันและกลุ่มผู้กู้ต่างกัน
โดยหากเป็นลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี)
มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกหนี้รายใหญ่
อย่างไรก็ตาม
เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงอยู่ทั้งภายนอกและในประเทศ
โดยขณะนี้ยังมีความไม่นอนแน่หลายปัจจัยทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะกระทบเศรษฐกิจโลกมากแค่ไหน ราคาน้ำมัน
แม้ราคาไม่สูงเหมือนช่วงที่ผ่านมา
แต่หากมีการเก็งกำไรเกิดขึ้นอาจส่งผลให้ราคาสูงขึ้นและดึงอำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลงได้
นอกจากนี้การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินในต่างประเทศและสะสางภาคการเงินที่ต้องใช้เวลา
ซึ่งในช่วงแรกอาจเกรงไม่ปล่อยกู้ก็ได้
ขณะที่ความเสี่ยงในประเทศยังมีอยู่ทั้งยอดการส่งออกชะลอลงและเสถียรภาพการเมือง
ซึ่งมีผลนักท่องเที่ยวลดลงและปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจได้
รวมถึงการตอบสนองนโยบายรัฐให้ล่าช้าออกไปได้ และความเชื่อมั่นลดลงของนักลงทุนและผู้บริโภค
แว้งกัดเสื้อเหลืองปิดสนามบิน
นางอัจนากล่าวด้วยว่า การจลาจลของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงสงกรานต์
ซึ่งเกิดจากผลการเมืองไม่ได้แสดงชัดเจนว่ากระทบภาคท่องเที่ยวเลวร้ายต่างกับช่วงที่ปิดสนามบิน
แต่มองว่าที่นักท่องเที่ยวลดลงเกิดจากรายได้ของนักท่องเที่ยวน้อยลงมากกว่า ดังนั้นเสถียรภาพการเมืองได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจบ้าง
ทำให้การใช้นโยบายของภาครัฐต่อระบบเศรษฐกิจล่าช้าออกไป
รวมทั้งความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงผู้บริโภคลดลงได้
บัวหลวงฮึดลดดอกเบี้ยกู้
0.125%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (20 พ.ค.) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลงในอัตรา
0.125% และจะมีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.นี้เป็นต้นไป
โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี
(เอ็มแอลอาร์) ลดลงมาอยู่ที่ 5.875% จากเดิมอยู่ที่ 6%
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชี (เอ็มโออาร์) ลดลงมาอยู่ที่ 6.125% จากเดิมอยู่ที่ 6.25%
และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (เอ็มอาร์อาร์)
ลดลงมาอยู่ที่ 6.375% จากเดิมอยู่ที่ 6.50%
ทั้งนี้
การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารกรุงเทพดังกล่าวนั้น
ถือเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง
โดยในที่ผ่านมาทางสมาคมธนาคารไทยได้มีการเรียกประชุมสมาชิกพิจารณาเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้
แต่มีสมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
เนื่องจากต้นทุนการเงินของธนาคารแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน
นอกจากนี้
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ยังส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ของธนาคารกรุงเทพนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในระบบธนาคาร
ซึ่งจากเดิมดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ของธนาคารกรุงเทพ
เท่ากับธนาคารกรุงไทยที่ระดับ 6 % ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่แห่งอื่นๆ เช่น
ธนาคารกสิกรไทย อยู่ที่ 6.10 % และธนาคารไทยพาณิชย์อยู่ที่ 6.15 % อย่างไรก็ตาม
เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา
ธนาคารกรุงเทพได้ทำการปรับลดอัตราเงินฝากออมทรัพย์ของนิติบุคคล หน่วยงานราชการ
และสถาบันการลงไปก่อนแล้ว ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าวได้ลดลงมาอยู่ที่
0.25% จากเดิมอยู่ที่ 0.375% และเงินฝากประจำ 12 เดือนปรับลดลงเหลือ 0.75% จากเดิม
1% ส่วนเงินฝากออมทรัพย์ของบุคคลธรรมดาไม่เปลี่ยนแปลง
"KTB-KBANK" หารือลดตาม
นาย
ส่วนการที่
กนง.ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% นั้น
มองว่า การใช้นโยบายการเงินในขณะนี้จะใช้ไม่ได้ผลเท่ากับการใช้นโยบายการคลัง
ด้วยการใช้จ่ายภาครัฐเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งเครื่องมือทางการเงินของ
ธปท.ยังมีตัวอื่นนอกจากอัตราดอกเบี้ยด้วย
โดยมองว่าเครื่องมือที่ธปท.น่าจะใช้ต่อไปคือในด้านของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
"คิดว่าทางแบงก์ชาติคงต้องลองใช้เครื่องมือตัวอื่นบ้าง
เพราะจะใช้แค่เรื่องของดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้
แต่จะต้องใช้สิ่งที่สามารถสร้างดีมานด์ที่ทำให้เกิดการลงทุนเพิ่มและเมื่อรัฐบาลมีการใช้เงินได้ถูกจุดด้วยก็จะทำให้เกิดการหมุนของเศรษฐกิจ"
นาย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารกสิกรไทยเองจะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเมื่อไรนั้นขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้
เพราะต้องรอประชุมคณะกรรมการของธนาคารก่อน
ในขณะที่หลายฝ่ายมองว่าขณะนี้ทางรัฐบาลกำลังกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยฝั่งเงินกู้ลงนั้น
โดยส่วนตัวแล้วขอยืนยันว่าธนาคารไม่ได้มีการกดดันอะไรและธนาคารก็ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องดังกล่าวมากจนเกินไป
เนื่องจากธนาคารจะพิจารณาถึงผู้ฝากเงิน ผู้กู้เงิน
และผลประกอบการของธนาคารเป็นหลัก
เพราะถ้าธนาคารลดอัตราดอกเบี้ยลงไปพร้อมกับการจัดการต้นทุนทางการเงินได้
ก็จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย
BAYผิดคาด กนง.คงดอกเบี้ย
นาย
นาย
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ