โอบามาฝ่าด่าน "บัตรเครดิต" เดินหน้าแผนปฏิรูปการเงินทั้งระบบ
ข่าวทนายคลายทุกข์วันนี้เป็นเรื่องที่ถือว่าต่างชาติอย่างสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือเรื่อง"บัตรเครดิต" ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาทราบถึงปัญหาของเรื่องบัตรเครดิตในด้านต่าง ๆ เช่น ค่าปรับล่าช้า หนี้คงค้าง หรือข้อตกลงของบริษัทบัตรเครดิตกับประชาชนผู้ใช้ จึงออกมาจัดทำกฎหมายการเปิดเผยข้อมูล ความรับผิดชอบ และสำนักต่อสาธารณชนของอุตสาหกรรมบัตรเครดิตขึ้นเพื่อเข้าไปช่วยเหลือประชาชน
รายละเอียดรายงานข่าว
เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ประธานาธิบดี บารัก โอบามาของสหรัฐ ได้ลงนามในร่างกฎหมายการเงินฉบับใหม่ เรียกว่า กฎหมายการเปิดเผยข้อมูล ความรับผิดชอบ และสำนึกต่อสาธารณชน ของอุตสาหกรรมบัตรเครดิต (Credit Card Accountability Responsibility and Disclosure Act (CARD)
ถือเป็นการปฏิรูปอุตสาหกรรมการเงินครั้งสำคัญและมีผลสั่นสะเทือนต่อผู้เล่นรายสำคัญๆ ในภาคบริการการเงินที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภาคการธนาคารที่พยายามคัดค้านสาระสำคัญในหลายมาตรการ
ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ จะครอบคลุมมาตรการป้องกันการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากบัญชีบัตรเครดิตอย่างฉับพลัน การคิดค่าธรรมเนียมแอบแฝง รวมถึงห้ามเปลี่ยนแปลงกำหนดวันชำระเงิน และต้องมีการเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเงื่อนไขสัญญา
โรเบิร์ต แฮมเมอร์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท อาร์ เค แฮมเมอร์ ที่ปรึกษาธุรกิจบัตรเครดิตคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมบริการบัตรเครดิต จะสูญเสียรายได้จากอัตราดอกเบี้ยราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่วอลล์สตรีต เจอร์นัล ประเมินว่า อุตสาหกรรมบัตรเครดิต มีแนวโน้มจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ จากผู้ใช้บัตรราว 2.05 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับปฏิกิริยาของสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง เคนเน็ท เชโนลต์ ซีอีโอของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส กล่าวว่า กฎหมายใหม่ที่ออกมาควบคุมการคิดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต อาจทำให้การปล่อยกู้แก่ผู้ที่ต้องการสินค้าลดลง และกระทบต่อบริษัทคู่แข่งมากกว่าเนื่องจาก 80% ของรายได้ของอุตสาหกรรมมาจากค่าธรรมเนียม
ประเมินกันว่า หนี้ครัวเรือนของ ชาวอเมริกันที่ถือบัตรเครดิตอยู่ที่ระดับ 17,000 ดอลลาร์ ขณะที่ทำเนียบขาวระบุว่า ในแต่ละปีชาวอเมริกันต้องเสียค่าธรรมเนียมในส่วนของค่าปรับประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดย 80% ของครัวเรือนอเมริกันโดยเฉลี่ย ถือครองบัตรเครดิต 1 ใบ และ 44% ของครัวเรือน มีหนี้บัตรเครดิตค้างชำระ
การผลักดันกฎหมายปฏิรูปอุตสาหกรรมบัตรเครดิต เป็นหนึ่งในความคืบหน้าของแผนริเริ่มในการปฏิรูปอุตสาหกรรมบริการการเงินทั้งระบบ ในสมัยของประธานาธิบดีโอบามา หลังวิกฤตซับไพรมในสหรัฐแปรสภาพเป็นวิกฤตการเงินโลกเมื่อปีที่แล้ว
นอกเหนือจากการผลักดันการออก กฎหมายควบคุมอุตสาหกรรมบัตรเครดิตแล้ว ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของ โอบามายังได้ออกกฎหมายหรือเสนอแผนริเริ่มออกมาแล้วจำนวนหนึ่ง เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การปฏิรูประบบการเงินอย่างครอบคลุม
อาทิ ข้อเสนอออกกฎหมายใหม่เพื่อปราบปรามพฤติกรรมการซื้อขายตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ด้วยการนำผลิตภัณฑ์การเงินเหล่านั้นเข้าสู่ระบบการซื้อขายอย่างเป็นทางการ กำหนดให้มีระบบชำระ ธุรกรรมกลาง มีการกำกับดูแลดีลเลอร์อย่างใกล้ชิด และเพิ่มความโปร่งใสในตลาด
เมื่อเร็วๆ นี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐบางรายได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ๆ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้อำนาจแก่คณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ในการดูแลเรื่องการจดทะเบียนกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ กองทุนประเภทไพรเวตอีควิตี้ และกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล ซึ่งหากกฎหมายเหล่านั้นมีผลบังคับ จะส่งผลให้บรรดาที่ปรึกษาจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องขึ้นทะเบียนกับ คณะกรรมการ SEC อย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ รัฐบาลของโอบามายังได้ ส่งร่างกฎหมายการให้อำนาจพิเศษในการคลี่คลายปัญหาสำคัญๆ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลสามารถเข้าไปยึดอำนาจการบริหารและจัดการกับสถาบันการเงินนอกภาคธนาคารขนาดใหญ่ และไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
ในด้านกำกับดูแลระบบการเงิน มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาจัดทำแผนริเริ่มในการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลความเสี่ยงทางระบบ และนำเสนอต่อรัฐสภาในอนาคตอันใกล้นี้
โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความเสี่ยงทางระบบที่มีผลต่อเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้สหรัฐ ไม่เคยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการถาวรขึ้นมาดูด้านนี้โดยตรง
แผนริเริ่มอื่นๆ ที่คาดว่าจะทยอยออกมาในสมัยของโอบามา ยังครอบคลุมตั้งแต่การออกกฎหมายปฏิรูปการจ่ายค่าตอบแทนในอุตสาหกรรม ที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมแบกรับความเสี่ยงมากเกินไป จนถึงการแก้ไขมาตรฐานด้านเงินทุนของธนาคาร และสถาบันการเงินให้เข้มงวดมากขึ้น การปฏิรูปอุตสาหกรรมเครดิตเรตติ้ง โดยพุ่งเป้าไปที่ปมผลประโยชน์ทับซ้อนของอุตสาหกรรมและบริษัทหรือสถาบันการเงิน
นอกเหนือจากข้อเสนอข้างต้นแล้ว ยังต้องจับตามองการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์การเงิน ซึ่งมีรูปแบบและโครงสร้างการทำงานคล้ายๆ กับคณะกรรมการความปลอดภัยในสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงการพิจารณาเรื่องการออกกฎระเบียบใหม่ขึ้นมากำกับดูแลอุตสาหกรรมประกัน ด้วยการตั้งหน่วยงานระดับชาติขึ้นมากำกับดูแล ควบคู่ไปกับหน่วยงานระดับรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือไม่
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ