วิจัยปปช.เผยขรก.ระดับสูง-ส.ส.-ส.ว.-รมต.ร่วมทุจริต3พันคดี
ทนายคลายทุกข์ขอนำรายงานพิเศษจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วิเคราะห์เกี่ยวกับ "วิชา"หวั่นชาติล่มจม เหตุส.ส.-ส.ว.-รมต.ร่วมทุจริตร่วม 3,000คดี อัดโครงการชุมชนพอเพียงเข้าข่ายทุจริตนโยบาย พบธุรกิจจ่ายสินบน1.2แสนล้านบาท/ปี
ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา สถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้จัดสัมมนาวิชาการประจำปี และมีการอภิปรายเรื่อง“ทุจริตคอร์รัปชั่นหมดไปสังคมไทยได้อะไรคืนมา” โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. และนางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
นายวิชา กล่าวตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันมีคดีคอร์รัปชั่นค้างพิจารณาของ ป.ป.ช. 3,657 คดี แยกเป็นคดีทุจริตทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 371 คดี ผู้ทำผิดเป็นลูกจ้างของรัฐ กระทำการทุจริตและประเภทการทุจริตการจัดทำบริการสาธารณะ 34 คดี ผู้ทำผิดเป็นข้าราชการและลูกจ้างของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน ส่วนทุจริตการก่อสร้างสถานที่ราชการ 26 คดี ผู้ทุจริตส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ และลูกจ้างของรัฐ
ขณะที่ การทุจริตการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 293 คดี พบข้าราชการและลูกจ้างของรัฐทำผิดมากที่สุด 256 คดี โดยมีข้าราชการระดับสูง และ ส.ส. ส.ว. และ รัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้องถึง 14 คดี
สำหรับการทุจริตผิดกฎหมาย มาตรา 157 เรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ พบข้าราชการระดับสูงถึง 2,933 คดี ข้าราชการระดับสูง ส.ส. และส.ว. รัฐมนตรี ร่วมกระทำการทุจริต 76 คดี โดยมีข้าราชการและลูกจ้างของรัฐร่วมทำผิด 2,481 คดี พนักงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน 363 คดี เจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ประกอบ 3 คดี
นอกจากนี้ ปปช. ยังพบอีกว่า ยังมีการทำทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น 2,632 คดี โดยแยกเป็นการทุจริต 2,054 คดีทุจริตและร่ำรวยผิดปกติ 36 คดี ฮั้วและทุจริต 542 คดี ขณะที่การทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในเขต กทม. พบว่ามีการทุจริต 132 คดี แยกเป็นทุจริต 106 คดี ทุจริตและร่ำรวยผิดปกติ 2 คดี ฮั้วและทุจริต 24 คดี
การทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นในเขตเมืองพัทยาพบการทุจริต 4 คดี เช่นเดียวกับการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในท้องถิ่น อบต.มีมากกว่า 1,000 คดี ซึ่งจะเห็นได้มีปริมาณเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปัจจุบันมีบัญชีที่ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบ 48,035 ราย แต่ตรวจสอบเสร็จได้เพียงเกือบ 6,000 ราย และค้างการตรวจสอบแยกเป็น ส.ส. ส.ว.และรมต.จำนวน 8,511 ราย และนักการเมืองท้องถิ่น 37,074 ราย
นายวิชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาการทุจริต ป.ป.ช.ตรวจสอบพบมากที่สุดขณะนี้ คือ การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย และผลประโยชน์ทับซ้อนโดยออกกฎหมายมารองรับในลักษณะถูกกฎหมาย แต่ขัดผลประโยชน์สาธารณะ โดยใช้ความได้เปรียบและเงื่อนไขทางการเมืองเอาเปรียบประชาชน คิดโครงการเพื่อโกงอย่างเดียว
"นักการเมืองบางคนทำธุรกิจกับตัวเอง โดยการตั้งบริษัทและเสนอโครงการเพื่อทำสัญญากับตัวเอง โดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกับเครือญาติและจัดสรรทรัพยากรของรัฐ นำโครงการลงในเขตเลือกตั้งของตัวเอง ใช้อำนาจแทรกแซงรัฐวิสาหกิจ จัดซื้อจัดจ้าง และมีการทำทุจริตเป็นฤดูกาลกับภาคการเกษตร เช่น ทุจริตเรื่องข้าว ลำไย มันสำปะหลัง หาเรื่องโกงได้ทุกโครงการ ถือเป็นเรื่องอันตรายทำให้ชาติล่มจมได้ ที่ผ่านมาป.ป.ช.ยอมรับว่าการพิจารณาคดีบางเรื่องล่าช้าไปบ้างเพราะติดขัดเจ้าหน้าที่ ซึ่งกำลังแก้ไขปัญหาด้วยการสร้างพนักงานไต่สวนขึ้นมาทำงานตามกฎหมายใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา” นายวิชา กล่าว
ด้าน นางเสาวนีย์ กล่าวว่า หลังจากได้รับทุนจากป.ป.ช.ทำวิจัยเรื่องสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากการสุ่มตัวอย่างจากนักธุรกิจที่มองปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากับปัจจุบัน ส่วนใหญ่เห็นการทุจริตยังมีปริมาณเท่าเดิม ไม่แตกต่างกันนัก
นักธุรกิจถือเอาการทุจริตเป็นต้นทุนการประกอบธุรกิจ จำเป็นต้องจ่ายให้กับหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ โดย องค์กรหน่วยงานของรัฐ 5 ลำดับก่อการทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุด คือ องค์กรตำรวจ นักการเมือง กรมศุลกากร องค์กรท้องถิ่น อบต. อบจ. สาธารณสุข กรมทางหลวง อย่างโยธาและผังเมือง โดยจ่ายเป็นจำนวนเงิน 1-2 % ของรายรับจากธุรกิจ เพื่อต้องการได้รับใบอนุญาตในการติดต่อเสียภาษี ความสะดวกสบายในการอนุมัติโครงการ
ผลการวิจัยยังระบุอีกว่า นักธุรกิจได้เปรียบเทียบปัญหาการทุจริตในช่วงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร, ชวน หลีกภัย และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงรัฐบาลทักษิณ มีการอำนวยความสะดวกให้กับนักธุรกิจมาก แต่ก็พบการทุจริตมากเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ ยังมีการปั้นโครงการเพื่อฮั้วประมูล ทำสัญญานิติกรรม มีการล็อคสเปคโครงการการตัดถนนผ่านที่ดินของพวกพ้องเครือญาติ การสร้างมูลโครงการอันเป็นเท็จ การแก้แบบเพื่อเลี่ยงภาษี และการเลือกตรวจสอบโครงการบางประเภทเพื่อรับมอบงาน
"เทรนใหม่การทุจริตที่จะพบเพิ่มขึ้นในอนาคต คือ การปั้นโครงการ การทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง การใช้ข้อมูลภายในโดยอ้างความจำเป็นเร่งด่วน เป็นโครงการประชานิยม นอกจากนี้นักธุรกิจส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการจ่ายเงินใต้โต๊ะเป็นเรื่องปกติ เพื่ออำนวยความสะดวก โดยไม่ต้องระบุตัวเลข หากดูจากประวัติศาสตร์การเปลี่ยนรัฐบาลจะพบว่า การทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นทุกรัฐบาล และถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการทำรัฐประหาร หากประเมินตัวเลขรัฐสูญเสียจากการทุจริตรูปแบบต่างๆ พบว่ามีมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่าง 30,000 - 1.2 แสนล้านบาทต่อปี"
นักวิจัย ป.ป.ช.ยังกล่าวอีกว่า การจ่ายเงินสินบนในความเป็นจริงแล้วพบว่า ยิ่งจ่ายมากยิ่งทำให้โครงการล่าช้า เพื่อจะเอาเงินต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และที่สำคัญทำให้สังคมเกิดการสูญเสียได้รับผลกระทบจากโครงการสาธารณะที่ไม่มีประสิทธิภาพ
องค์กรอิสระ-นักวิชาการชี้บรรษัทข้ามชาติร่วมวงทุจริตนโยบายรัฐ
อีกตอนหนึ่ง นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) อภิปรายว่า การทุจริตที่สังคมไทยเผชิญอยู่ขณะนี้คือการทุจริตเชิงนโยบาย หรือผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นการคอร์รัปชั่นที่บางครั้งถูกกฎหมาย แต่ผิดหลักประโยชน์ของสาธารณะ หลักจริยธรรม ใช้เงื่อนไขทางการเมืองเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มบุคคล เช่น กรณีเครื่องกดน้ำที่ยัดเยียดให้ชุมชน ไปบังคับให้ชาวบ้านเซ็นรับ เป็นการโกงทางนโยบาย บางเครื่องยังเอากุญแจล็อคไว้ เปิดใช้ไม่ได้ นี่คือการคอร์รัปชั่นที่ผิดกฎหมายและจริยธรรมในระยะเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ ป.ป.ช.พร้อมสอบโครงการชุมชนพอเพียง ขณะนี้มีคนร้องเรียนป.ป.ช.แล้ว และยังพบว่า นักการเมืองเริ่มล้วงลูกข้าราชการไปจนถึงระดับ ซี 3 - 4 แล้ว ไม่ได้ล้วงเฉพาะหัวเหมือนในอดีต ซึ่งป.ป.ช.กำลังออกกฎหมายใหม่ว่า หากข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือกับการทุจริต และนำข้อมูลการทุจริตมาให้ จะไม่สามารถโยกย้ายข้าราชการคนดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้ และจะถูกกันไว้เป็นพยาน หากสามารถปราบการทุจริตได้สำเร็จ ข้าราชการก็จะได้รับรางวัลเป็นการปูนบำเหน็จด้วย
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้ป.ป.ช.เข้าไปตรวจสอบโครงการชุมชนพอเพียง เพราะมีการนำเงินจำนวนมากลงไป แต่ไม่มีการตรวจสอบ เพราะทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ก็ได้ประโยชน์ทุกคน ทั้งคณะกรรมการและชาวบ้าน นโยบายและกฎหมายก็ทำถูกต้อง การบริหารจัดการลงตัวหมด แต่มีผู้เสียประโยชน์คือประเทศชาติที่ถูกล้างผลาญ ดังนั้นป.ป.ช.ควรเข้าไปเป็นหัวขบวนตรวจสอบ
ตัวแทน"สภาพัฒน์"ระบุต่างชาติโดดร่วมวงคอร์รัปชั่นนโยบาย
นายอุทิศ ขาวเธียร รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)กล่าวว่า ในอนาคตการทุจริตเชิงนโยบายจะขยายตัว นอกจากจะเป็นความร่วมมือของนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจแล้ว ยังมีกลุ่มธุรกิจข้ามชาติมาร่วมเป็นผู้เล่นด้วย เนื่องจากมีผลประโยชน์ต้องกัน
โดยการทุจริตเชิงนโยบายในอนาคตจะเป็นโครงการใหญ่ขึ้น ไม่มีโครงการกระจอกอีกแล้ว เพราะเสียเวลา ไม่คุ้มค่า หากเป็นโครงการขนาดเล็กก็จะรวมเป็นแพ็คเกจ เพื่อให้ได้งบมากขึ้น โดยอ้างความจำเป็นเฉพาะหน้า และการแก้ปัญหาให้คนยากจน จะจูงใจชาวบ้านด้วยผลประโยชน์ส่วนเสี้ยว การทุจริตในอนาคตจะเป็นแบบไฮบริด เป็นพันธุ์ผสมและมีการดื้อยา หากไม่เตรียมตัวตั้งแต่ต้น ป.ป.ช.ก็จะกลายเป็นตัวตลก
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ