วันนี้ผมส่งหนังสือร้องเรียนเนื่อหาตามรายละเอียดด้านล่างไปยังหน่วยงานต่าง ๆ คือ
ท่านผู้อำนวยการธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค
ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค
สำนักอัยการสูงสุด
สำนักนายกรัฐมนตรี
โดยรายละเอียดเนื่อหาคร่าว ๆ ตามด้านล่างครับ
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 ธนาคารได้ทำการหักเงินซึ่งมีบุคคลภายนอกโอนหรือฝากนำเข้าบัญชีของกระผม นายxxxxx xxxxxซึ่งฝากไว้กับธนาคารสาขา สยามสแควร์ บัญชีเลขที่ xxxxxxx ไปเป็นจำนวนเงิน 29,337.25 บาท โดยกระผมไม่ได้ให้ความยินยอม การกระทำดังกล่าวของธนาคารเป็นการทุจริตต่อความไว้วางใจที่ลูกค้าพึงมีต่อสถาบันการเงิน และเป็นการผิดสัญญาการฝากทรัพย์ที่กระผมฝากเงินไว้กับธนาคาร ธนาคารหักเงินออกจากบัญชีของกระผมโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย และถึงแม้จะมีข้อตกลงอันเป็นลักษณะทั่วไประบุไว้ในเอกสารของTธนาคาร แต่ก็มิได้เป็นความประสงค์ของกระผมที่จะยอมให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีของกระผม ข้อสัญญาต่าง ๆ ที่ธนาคารอ้างว่ากระผมได้ตกลงยินยอมให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีใด ๆ ของกระผมได้ เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และเป็นการเพิ่มภาระหรือเอาเปรียบลูกค้าเกินควร ประกอบกับกระผมไม่เคยได้รับแจ้งจากธนาคารล่วงหน้าว่าหากมีการผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจะใช้วิธีการหักเงินจากบัญชีต่าง ๆ ที่กระผมเป็นเจ้าของบัญชีและฝากเงินไว้กับธนาคาร โดยไม่ผ่านกระบวนการทางศาล หากกระผมทราบว่าธนาคารจะใช้วิธีการบังคับชำระหนี้ด้วยตนเองโดยไม่ผ่านวิธีการฟ้องต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภค กระผมคงไม่ใช้บริการบัตรเครดิตของธนาคาร การบังคับชำระหนี้ของธนาคารในกรณ๊นี้ได้กระทำกับผู้บริโภครายอื่นหลายราย ซึ่งผู้บริโภครายอื่นได้มีการร้องเรียนไปยังสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้เป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยหลายคดี ปรากฏตามสื่อสารมวลชนทั้งทางหนังสือพิมพ์ และทางอินเตอร์เน็ต ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อร่างประกาศและออกกฎหมายห้ามมิให้สถาบันการเงินรวมทั้งธนาคารกรุงเทพเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคโดยการหักจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าที่ผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตและบัตรเงินด่วน และนอกจากนี้การบังคับชำระหนี้ของธนาคารเป็นการบังคับชำระหนี้เอากับจำนวนเงินทั้งหมดของลูกหนี้ที่ธนาคารตรวจพบว่าลูกหนี้รายใดฝากเงินไว้กับธนาคาร สร้างความเดือดร้อนให้กับกระผมในฐานะลูกหนี้และผู้บริโภครายอื่น ๆ ไม่มีเงินสดหมุนเวียนในการดำเนินชีวิตและทำธุรกิจ การบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับเงินเดือนยังบังคับชำระหนี้เพียงร้อยละ 30 ของเงินเดือนเท่านั้น
ผลจากการกระทำของธนาคารทำให้มีผลกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อการดำเนินชีวิตและในการประกอบหน้าที่การงานของผมโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้คือ
1. สูญเสียเงินจากการถูกหักบัญชี จำนวน 29,337.25 บาท
2. ต้องกู้เงินจากบุคคลภายนอกมาใช้ในการดำเนินชีวิต กล่าวคือผมมีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทและมีรายได้ทางเดียวเมื่อธนาคารหักเงินจากบัญชีของผมไปโดยไม่ทราบล่วงหน้าทำให้ขาดเงินทุนหมุนเวียนไม่มีเงินชำระหนี้ค่าเช่าบ้าน , ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต รวมถึงการผ่อนหนี้กับสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งต้องส่งเสียบุพการีที่อยู่ต่างจังหวัด
ทั้งนี้ผมไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้เต็มจำนวนทั้งหมดตามที่ธนาคารได้หักเงินผมไป เพราะมีความจำเป็นดังกล่าวข้างต้น จึงขอให้ธนาคารพิจารณาคืนเงินให้ผมและหักไว้เฉพาะค่างวด เพื่อผมจะได้นำเงินดังกล่าวมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันต่อไป ผมยินดีที่จะตกลงทำสัญญารับสภาพหนี้ใหม่ตามตกลงครับ
ทั้งนี้ พร่งนี้ตั้งใจไปพบพี่ทนายที่สำนักงานกฎหมาย ทนายประชาชนเพื่อขอความช่วยเหลือครับ เนื้อหาด้านบนก็ดัดแปลงจากสำเนาคดีที่หาได้จากใน Internet เวปนี้ครับ