บทเรียนราคาแพง
นักเรียน-นักเลง
แทงอริดับบนรถเมล์
"...คดีน้องเค
หรือนายชัยพร
จรูญภักดิ์
อายุ 21 ปี
นักศึกษาชั้น
ปวช.ชั้นปี
3 แผนกเคมีอุตสาหกรรม
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
วิทยาเขตปทุมวัน
หรือช่างกลปทุมวัน
...ถูกแทงเสียชีวิตขณะนั่งโดยสารรถประจำทางสาย
47 วิ่งระหว่างท่าเรือคลองเตย-กรมที่ดิน
บริเวณหน้าตึกอับดุลราฮิม
ถนนพระราม 4 แขวงปทุมวัน
เขตสาทร กทม. ในเวลา
10.00 น. ของวันที่
17 สิงหาคม 2547
เหตุเกิดท้องที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ
..ถึงตอนนี้ผ่านมา
3 วันแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากเท่าใดนัก
..ต้องดูว่าคดีนี้ตำรวจจะจับคนร้าย
ที่คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาสถาบันคู่อริได้หรือไม่
...เพราะถึงตอนนี้ยังไม่มีพยานรายใดออกมายืนยันว่าเห็นคนร้ายแต่อย่างใด..."
เสียงของพิธีกรรายการข่าวชื่อดัง
พูดผ่านทางจอโทรทัศน์สื่อไปถึงประชาชนที่ติดตามคดีนี้
รวมถึงเป็นการกดดันเจ้าของท้องที่
และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำคดีนี้ไปในตัว...
อนหลังไปเมื่อ
3 วันที่แล้ว
หลังตำรวจทุ่งมหาเมฆรับแจ้งเหตุ
241 นักศึกษา
ด้วยอาวุธมีด
ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบ
พล.ต.ต.
มี พ.ต.ท.
"..เก็บหลักฐานให้ละเอียดนะ
นายสั่งมาว่าต้องจับให้ได้
เล่นแทงกันบนรถเมล์แบบนี้
ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองบ้างเลย.."
สารวัตรกิมพูดกับลูกน้องขณะหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ
ทันใดนั้นภาพแม่นายชัยพร
หรือเค
ที่วิ่งเข้ามากอดศพลูกชาย
พร้อมร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
แวบเข้ามาในสมองของสารวัตรกิมอีกครั้ง
"ฮือๆๆ ..เค
ลูกทำไมมาทิ้งแม่ไป
..ไหนลูกบอกว่าสอบเสร็จแล้วจะรีบกลับบ้าน..
ใครทำลูกได้ลงคอ...
ทำไมต้องทำกับลูกแบบนี้...
แล้วต่อไปชีวิตแม่จะอยู่ยังไง...ฮือๆๆ"
"พี่กิม..พี่กิม...พี่กิม" เสียงลูกน้องเรียกนายหลายครั้ง
ก่อนคนถูกเรียกจะตื่นจากภวังค์ขานรับ
"หือ"
"พี่เราจะเริ่มตรงไหนก่อนดี
ผู้โดยสารที่มาในรถ
พอรู้ว่ามีคนถูกแทง ..ก็ตกใจหนีหายไปหมด..คนขับกับกระเป๋าก็ไม่เห็นบอกว่าคนบังหมดเลยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น"
"เอางี้..มึงกับพวก
ลองไปซุ่มตรวจดูว่าเวลาก่อนเกิดเหตุ
รถเมล์สายนี้มันวิ่งผ่านที่ไหนมาบ้าง
แล้วลองถามผู้โดยสารดูว่ามีใครเห็นเหตุการณ์บ้าง
มันน่าจะมีคนเห็นบ้างล่ะ..ลองไปดูก่อน"
สารวัตรกิมแนะนำลูกน้อง
ปรากฏว่าโชคเข้าข้างส่วนหนึ่งเนื่องจากบ่ายวันเกิดเหตุ
พนักงานเก็บขยะพบมีดปลายแหลมเปื้อนเลือด
ตรวจสอบเป็นมีดทำครัวตราหัวม้าลาย
ยาว
ถือเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ฝ่ายสืบสวนพบ
หลังจากกระจายกำลังตรวจสอบหาอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุอยู่หลายชั่วโมง!!!
"พี่กิม
..นี่ผ่านมา
5 วันแล้วนะ
..ยังไม่เจอใครเห็นเหตุการณ์เลย
..ทำไงดีพี่.." ลูกน้องในทีมสืบสวนถาม
"เออ..มึงไปทำต่อเหอะ
กูเชื่อว่าเดี๋ยวก็ต้องเจอ
ทีวีออกข่าวทุกวัน
ประชาชนเขาต้องรู้แล้ว
ว่าพวกเราอยากจับคนร้ายให้ได้จริงๆ.."
สารวัตรกิมพูดให้กำลังใจลูกน้องและตัวเอง
เพราะคดีนี้หากจับไม่ได้
ก็ไม่รู้จะอธิบายกับพ่อแม่คนตายว่ายังไง..
ก่อนที่โทรศัพท์มือถือสารวัตรกิมจะดังขึ้น
โดยปลายสายเป็นลูกน้องแจ้งข่าวดีเข้ามาว่า
"พี่กิม
ตอนนี้เจอพยานแล้วเป็นผู้ชาย
2 คนที่บอกว่าอยู่ในเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุ"
"เออดี..รีบเชิญตัวมาสอบสวนเลย
พี่รอที่ห้องสืบนะ..."
สารวัตรกิมตอบกลับไปทันที
"วันเกิดเหตุ
ผมนั่งด้านหลัง
เห็นว่าคนแทงแต่งกายคล้ายชุดนักศึกษา
ขึ้นมาจากย่านบ่อนไก่.. เมื่อรถวิ่งมาถึงหน้าตึกอื้อจื่อเหลียง
คนตายก็ขึ้นมา
..ตอนแรกก็ไม่สนใจอะไร
สักพักเห็นทะเลาะกัน..
ก่อนคนตายจะวิ่งลักษณะคล้ายจะลงประตู
แต่ล้มลงไปก่อน"
พยานเล่า
"แล้วเห็นอะไร
ต่อจากนั้น.." ฝ่ายสืบสวนซักต่อ
"จังหวะนั้น
พอมีคนล้มลง
ก็มีผู้โดยสารตะโกนว่ามีคนถูกแทง
คนขับรถเมล์ได้จอดรถ
ทุกคนต่างวิ่งกรูหนีออกจากรถหมด
รวมทั้งผมด้วย.."
พยานเล่าต่อ
"แต่ไอ้คนที่ทำ
ผมเห็นว่าพอประตูรถเปิด
มันวิ่งออกไปก่อนคนอื่นเลย
และหายไปเลย..เชื่อว่าถ้าเห็นหน้าอีกครั้งจำได้แน่ครับ.."
พยานเล่าอย่างหมดเปลือก
"ขอบคุณครับ
..แบบนี้พอจะมีทางจับคนร้ายได้หน่อย.."
สารวัตรกิมพูดขึ้น
ก่อนบอกกับลูกน้องต่อว่า
"ไปทำแบบเดิมกับที่หาพยานนะ.. ไปดูย่านชุมชนบ่อนไก่
ว่ามีใครเคยเห็นผู้ชาย
ลักษณะจะเป็นผู้ต้องหาอย่างที่พยานบอกหรือเปล่า
เออ! อย่าลืมตรวจสอบประวัตินักศึกษาที่อยู่แถวนั้นด้วยนะ.."
จากวันนั้น
วันแล้ววันเล่าผ่านไปก็ไม่มีใครเห็น..นักศึกษาที่น่าจะก่อเหตุ
..จนคนในสังคมเกือบลืมว่าเคยมีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัว
"จรูญภักดิ์"
บ้าง
..แต่ทีมสืบสวนก็ไม่ย่อท้อ
แม้จะถูกสื่อกดดัน
..แต่ผู้บังคับบัญชาเข้าใจดีว่า
งานสืบสวนไม่ได้ใช้เพียงแค่ฝีมือเท่านั้น
ความอดทน ความละเอียดรอบคอบ
ก็เป็นตัวแปรสำคัญในการจะติดตามจับกุมคนร้ายและคลี่คลายคดีต่างๆ
"พี่ๆๆ มีข่าวดีแล้ว.. ตอนนี้ผมสงสัยว่าคนก่อเหตุจะเป็นไอ้บอย
เพราะหลังจากเกิดเหตุ
มันก็หายไปจากบ้าน
..ที่สำคัญมันเรียนอยู่สถาบันเทคโนโลยี
วิทยาเขตอุเทนถวาย คณะสถาปัตยกรรม
ชั้นปี 2 แต่ตอนนี้มันดร๊อปไว้
แต่ที่บ้านมันก็บอกว่าแต่งชุดนักศึกษาออกจากบ้านทุกวัน.." ทีมงานบอกกับสารวัตร
"แล้วไปถามที่บ้านมันว่ายังไงบ้าง
ตอนนี้มันอยู่ไหน..?"
"เขาก็บอกว่าไม่รู้มันหายไปไหน
ลักษณะแบ่งรับแบ่งสู้"
"ดี..งั้นเอารูปมันไปให้พยานดูก่อนนะ..ว่าใช่หรือเปล่า
ถ้าใช่ค่อยขอศาลออกหมายจับ.."
"ครับพี่.."
และถึงที่สุด
พยานก็ยืนยัน
ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับนายศุภกิจ
หรือบอย
อินสว่าง
อายุ 21 ปี
ตามหมายจับ เลขที่
จ.1846/2547 ลงวันที่
30 กันยายน 2547
ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
และพาอาวุธมีดไปในเมือง
หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
โดยใช้เวลากว่าเดือนในการสืบหาว่าใครเป็นคนร้าย!!
จากนั้นกระบวนการล่าตัวไอ้บอยจึงเริ่มต้นขึ้น
พร้อมๆ
กับกำลังใจของฝ่ายสืบสวนที่เดินมาครึ่งทางแล้วหลังจากถูกกดดันมาตลอด
การล่าตัวเริ่มออกสตาร์ตจากการสอบถามกับครอบครัว
ญาติ
และเพื่อนๆ ของบอย
"บัง..คนร้ายที่ก่อเหตุตอนนี้ไม่แน่ใจว่าอยู่ไหน
ยังไงให้ลูกน้องที่สืบ
5 ไปเฝ้าที่โรงเรียนมันด้วยนะ
เผื่อมันย้อนมาหาเพื่อน"
สารวัตรกิม
บอกกับสารวัตรบัง
"ตอนนี้กำลังก็เฝ้าอยู่
แต่สงสัยจะรู้ว่าตำรวจตาม
มันเลยไม่โผล่ให้เห็นเลย.." สารวัตรบังตอบ
"เออ.. ไม่เป็นไร
เดี๋ยวผมจะไปดูที่เมืองนนท์หน่อย
ได้ข่าวว่ามันไปหาเพื่อน.."
"ดี.. คืบหน้ายังไงอย่าลืมรายงานนายด้วยนะ.."
สารวัตรบังบอก
การทำงานรุกคืบ
แม้ไม่มากนัก
แต่ถือว่ามาไกลกว่าตอนเกิดเหตุครั้งแรกมาก...
"...สารวัตรครับผมตรวจสอบที่เมืองนนท์แล้วไอ้บอยมันไปอยู่กับเพื่อน
2-3 วัน ..แต่ที่บอกว่าไปเชียงใหม่
ผมดูแล้วไม่น่าใช่
พวกมันน่าจะปล่อยข่าว"
เสียงของลูกน้องสารวัตรกิม โทรศัพท์รายงานให้ทราบเป็นระยะ
"ไม่เป็นไร
พี่โต้ง (พ.ต.อ.กิตติคุณ
พูลสมบัติ
ผกก.สส.บก.น.5)
ให้หลักฐานพี่มา
เดี๋ยวลองตรวจสอบอีกครั้ง
ว่าข่าวที่มันไปพัทยาจริงหรือมั่ว.."
สารวัตรบอกข่าวให้ลูกน้องเร่งเช็ค
หลายวันต่อมาหลังจากเช็คข่าวแล้ว
สารวัตรกิมกับสารวัตรบัง
พร้อมกำลังก็บึ่งรถจุดหมายปลายทางคือที่พัทยา
เพราะเริ่มมั่นใจว่า
"ไอ้บอย"
หนีมาทำงานเป็นเด็กยกกระเป๋าลงเรือ
พัทยาข้ามไปเกาะช้าง
เวลา 08.00 น. วันที่
29 มีนาคม 2548 ทีมสืบสวนปูพรมเดินหาข่าวอยู่ที่ท่าเรือแหลมบารีฮาย
พัทยาใต้ ต.หนองปรือ
อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ทันใดนั้นหนึ่งในทีมสืบก็สะดุดกับชายคนหนึ่งซึ่งใส่หมวกแก๊ปลักษณะปิดพรางใบหน้า
ก่อนสะกิดเพื่อนร่วมทีม
"ใช่ไอ้บอยหรือเปล่าวะ
มันสวมหมวกแบบนี้ไม่ค่อยมั่นใจ"
ก่อนที่ทีมสืบสวนตัดสินใจฉับพลันเดินเข้าประชิดตัวชายต้องสงสัยทันทีพร้อมเอ่ยเรียกชื่อทันควัน
"ไอ้บอย.." เหมือนกับหมัดตรงที่ชกเข้าปลายคาง
คนถูกเรียกสะดุ้งก่อนขานรับ
"ครับ.." ฝ่ายสืบสวนล็อคตัวทันทีก่อนหิ้วมาสอบสวนที่
กก.สส.บก.น.5
"ผมเห็นผู้ตายนั่งรถเมล์
และเป็นสถาบันคู่อริ
จึงตรงเข้าไปชกต่อย
แต่ผมตัวเล็กกว่า
สู้ไม่ได้จึงชักมีดออกมาแทงที่หน้าอกคู่กรณีไป
1 ครั้ง เมื่อรถจอดจึงวิ่งหลบหนีไปอยู่บ้านเพื่อนหลายแห่ง
และสุดท้ายมาทำงานที่นี่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็ถูกจับ"
เป็นคำรับสารภาพของไอ้บอย
ซึ่งทั้งหมดเกิดจากความคิดชั่ววูบเท่านั้น
ที่สร้างตราบาปให้ตนเองและผู้อื่น
จนต้องสูญเสีย
"อิสรภาพ" เข้าไปชดใช้
"กรรม" ที่ก่อขึ้นในเรือนจำ
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก
เว็บไซด์
มติชน