ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 6 ปี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย
วันนี้ (9 มกราคม 2567) ศาลฎีกา โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำคุก ดร.อนุรักษ์ฯ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย 6 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน เงิน 5 ล้านบาทเพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณ โดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลฎีกา
รายละเอียดปรากฎตามสำเนาคำพิพากษาอย่างย่อ
วันนี้ เวลา ๑๑ นาฬิกา ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.๗/๒๕๖๖ หมายเลขคดีแดงที่ อม.อธ.๕/๒๕๖๗ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ จำเลย
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ และอนุกรรมมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ในคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ก่อนการพิจารณางบประมาณของคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ จำเลยเรียกเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือของานโครงการจากนาย ศ. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อแลกกับการไม่ตัดงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลอันเป็นการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบ หรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙, ๑๕๗ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ๖ ปี กับให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๕ อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
จำเลยอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์รับอุทธรณ์ วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๗
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ เห็นว่า เบื้องต้น พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการตรวจสอบ เพื่อทราบรายละเอียดตามเรื่องกล่าวหาว่าผู้ถูกร้องเรียนเป็นบุคคลใดมีตำแหน่งหน้าที่ใดได้ หนังสือร้องเรียนมีข้อมูลเบื้องต้นระบุบุคคลที่เกี่ยวข้องเพียงที่จะตรวจสอบได้ การตรวจสอบวันรุ่งขึ้นหลังจากได้รับหนังสือร้องเรียนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยสอบปากคำ นาย ศ. เพื่อทราบถึงผู้ถูกร้องเรียน จึงมิใช่เป็นการมุ่งเอาผิดจำเลยฝ่ายเดียว กรณีจำเป็นต้องไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเองหรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวน คำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนคดีนี้สอดคล้องตรงตามกฎหมายจึงชอบแล้ว ที่คณะกรรมการไต่สวนไม่เรียกพยานหลักฐานที่จำเลยร้องขอก็ไปปรากฎว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ตามรายงานและสำนวนการไต่สวนมีการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพยานบุคคล ๑๗ ราย และเอกสารหลักฐานต่างๆ รวม ๑๐ รายการ ถือเป็นการไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริงที่เกิดขึ้น เพียงพอที่จะวินิจฉัยมูลความผิดของจำเลยแล้ว คณะกรรมการไต่สวนย่อมมีดุลพินิจที่จะคำสั่งได้ การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงเป็นไปโดยชอบแล้ว
ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์โดยมติเสียงข้างมาก เห็นว่า คำเบิกความของนาย ศ. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่นาย ศ. เบิกความถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ตนได้ประสบพบมาเป็นลำดับขั้นตอนตั้งแต่การพิจารณางบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในระดับกระทรวงเรื่อยมาจนถึงระดับกรมในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จนถึงคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ทำให้เห็นพฤติการณ์ของจำเลยที่ตั้งข้อสังเกตและซักถามงบประมาณเฉพาะกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมาโดยตลอด ลักษณะที่เน้นย้ำถึงโครงการของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล มิได้มีลักษณะเป็นการตรวจสอบการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐตามปกติ แต่เป็นการสร้างความกดดันและความกังวลแก่ผู้รับการพิจารณาว่าจะถูกตัดหรือลดงบประมาณหรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองในการแสวงหาประโยชน์ อันทำให้เป็นเหตุชักจูงใจให้จำเลยโทรศัพท์หานาย ศ. ผ่านการติดต่องานของนาง น. เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ในคืนวันเกิดเหตุ นาย ศ. และจำเลยใช้เวลาสนทนาครั้งแรก ๙ นาทีเศษ และใช้เวลาสนทนาครั้งที่สอง ๖ นาทีเศษ สอดคล้องกับข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ข้อความที่มีการสนทนโต้ตอบกันทางโทรศัพท์ตั้งแต่การเรียกเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อนาย ศ. ปฏิเสธก็เปลี่ยนมาเป็นของานแทน เพื่อแลกกับการไม่ตัดงบประมาณ มีลักษณะพูดต่อรองกันไปมา ซึ่งมีรายละเอียดมาก ยากที่จะแต่งเรื่องขึ้นมาให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะข้อความที่สนทนากันในเรื่่องของานยังสอดคล้องกับการตั้งข้อสังเกตและซักถามของจำเลยในการประชุม ซึ่งมุ่งเฉพาะโครงการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลที่มีงบประมาณไม่มากที่จำเลยอ้างว่า จำเลยโทรศัพท์ติดต่อนาย ศ. ขอแบบแปลนและประมาณราคาเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณโดยตรงทั้งที่ต้องดำเนินการผ่านเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามข้อบังคับการประชุมและแนวทางปฏิบัติที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวดำเนินการสืบกันมา ไม่สมเหตุสมผล จึงเป็นพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ สำหรับที่นาย ศ. กล่าวต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ และให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนว่าได้มีการบันทึกเสียงการสนทนาไว้นั้น ก็น่าเชื่อว่าเป็นการพูดต่อด้วยความไม่พอใจ และแสดงให้เห็นว่าตนมีพยานหลักฐานที่มั่นคงที่จะกล่าวหาจำเลยได้ โดยบันทึกชี้แจงข้อเท็จจริง คำให้การ และคำเบิกความ นาย ศ. คงยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์โทรศัพท์เรียกเงินหรือของานของจำเลยมาโดยตลอด ดังนั้น คำเบิกความในส่วนนี้จะแตกต่างกันไปบ้าง แต่สาระสำคัญแห่งคดีมิได้เปลี่ยนแปลง ข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความ การตั้งข้อสังเกตและซักถามของจำเลย และการชี้แจงของนาย ศ. เป็นการปฏิบัติหน้าที่ ตามธรรมดาย่อมมีเหตุกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นได้ หากจะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นระหว่างการประชุมบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ไม่น่าจะร้ายแรงถึงขนาดว่าจะต้องปั้นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลย อีกทั้งในคืนวันเดียวกันแทบจะในทันทีภายหลังที่เกิดเหตุ นาย ศ. ได้โทรศัพท์ผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ไปหานาย ภ.และนาย ส. เล่าเรื่องการเรียกเงินดังกล่าวให้ฟังทันที ย่อมไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งเรื่อง โดยในส่วนนี้ โจทก์ยังมีนาย ภ. และนาย ส. มาเบิกความยืนยันว่า นาย ภ. โทรศัพท์ติดต่อหาจำเลยเช่นกัน มีการซักถามจนนำไปสู่การพูดในเชิงของานของกรมดังกล่าว และในวันรุ่งขึ้น นาย ศ. ยังโทรศัพท์ติดต่อนาย น. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เล่าเรื่องที่ถูกจำเลยเรียกเงินให้ฟังด้วย แม้นาย ภ. นาย ส. และนาย น. เป็นคนรู้จักกันในฐานะเพื่อนและผู้ใต้บังคับบัญชาก็ตาม แต่ต่างก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเป็นถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่มีสาเหตุโกรธเคืองหรือขัดแย้งกับจำเลยมาก่อน พยานบุคคลทั้งสามยังเบิกความเชื่อมโยงกับที่นาย ศ. เบิกความ จึงเชื่อว่า เบิกความไปตามความจริง พยานพฤติเหตุแวดล้อมของโจทก์ดังกล่าวที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมสนับสนุนคำเบิกความของ นาย ศ. ประจักษ์พยานให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
การที่จำเลยโทรศัพท์เรียกรับเงินหรือขอผลประโยชน์จากโครงการในการจัดทำงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นการอาศัยโอกาสในตำแหน่งที่ตนมีอำนาจและหน้าที่ที่จะสามารถเสนอปรับลดงบประมาณได้ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นการขอ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งของจำเลย ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๓ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ เมื่อคดีฟังได้ดังกล่าวแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษามานั้น องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์โดยมีมติเสียงข้างมากเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน