หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ต้องติดอากรสแตมป์หรือไม่ ถึงจะมีผลตามกฎหมาย ถ้าต้องติด จะคิดตามวงเงินกู้หรือไม่ อย่างไร
สัญญากู้ยืมเงิน
เรื่องนี้กฎหมายก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้มากมายพิสดาร เพียงเขียนไว้ว่า "การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเงินเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" (ปพพ. ม.563 วรรคแรก)
ดังนั้น เพียงเขียนว่า "วันที่...เดือน...พ.ศ....ข้าพเจ้า.............ได้ก็ยืมเงินนาง..............จำนวน.........(.....)และได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว
ลงชื่อ........ผู้กู้ยืม
ก็ถือเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน ที่ใช้ฟ้องร้องได้....
แต่...ปัจจุบันมีสัญญาสำเร็จรูป วางขาย มีช่องให้ปิดอากรฯ ดังนั้นควรปิดอากรฯ ให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันปัญหาตามมาว่า สัญญาฯไม่ถูกต้องครบถ้วน เพราะผู้กู้บางรายมักหาช่องทางจะหลบเลื่ยงหนี้อยู่แล้ว....อัตราการปิดอากรฯ จากบัญชีอัตราอาการแสตมป์ ท้ายประมวลรัษฎา กร ข้อ 5 คือการกู้ยืมเงิน "ทุกจำนวน 2,000 บาทหรือเศษ 2,000 บาท ค่าอากรฯ 1 บาท ผู้ที่ต้องเสียอากรคือ ผู้ให้กู้ ผู้ที่ต้องขีดฆ่าอากร คือ ผู้กู้ (สรุปคือ เงินกู้ 2 พันบาท ติดอากรฯ 1 บาท หรือ หมื่นละ 5 บาท...อากรฯ หาซื้อได้ที่ สนง.สรรพากรอำเภอ)ซึ่งราคาเพียงเล็กน้อย แต่ทำให้สัญญากู้มีความสมบูรณ์....อย่างไรก็ตามการให้กู้ยืมเงิน โดยไม่มีบุคคลมาค้ำประกัน หรือไม่มีหลักทรัพย์มาจดทะเบียนจำนองค้ำประกันการกู้ยืมเงิน มีความเสี่ยงที่เงินจะสูญ ค่อนข้างสูง เพราะผู้คนบางรายบอกว่า ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย (จบ) แม้จะฟ้องศาล ศาลให้ใช้หนี้ตามสัญญาฯ ถ้าผู้กู้ไม่มีทรัพย์สินให้ยึดก็จบ เช่นกัน ด้วยความปรารถนาดี ครับ