การต่อสู้คดียาเสพติดของผู้ต้องหาหรือจำเลย
ท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม www.decha.com ในส่วนที่เกี่ยวกับคดียาเสพติด ทีมทนายความของ website ขอเรียนว่า
การให้คำปรึกษากับผู้ต้องหาหรือจำเลย รวมทั้งญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลย
มีหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
1. ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์และการเข้ามาที่สำนักงานฟรี โดยไม่เสียค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น
2. การให้คำแนะนำหรือให้คำปรึกษาเป็นไปตามกฎหมายยาเสพติดและบรรทัดฐานต่าง
ๆ
ที่ศาลฎีกาได้วางหลักไว้เกี่ยวกับคดียาเสพติด
3. ไม่ให้คำปรึกษาตามความเชื่อส่วนตัวของทนายความ
เป็นหลัก
4. การขอคำปรึกษาจะต้องมีสำเนาบันทึกการจับกุม
สำเนาคำฟ้อง ประกอบในการขอคำปรึกษาเท่านั้น
เพราะทนายความไม่ใช่หมอดูที่จะพยากรณ์คดี
5. ไม่รับจ้างล้มคดี หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
6. การให้คำแนะนำหรือเขียนอุทธรณ์
หรือฎีกาคดียาเสพติด เน้นการต่อสู้คดี
ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ยกฟ้องคดียาเสพติดเป็นหลักเท่านั้น ไม่เน้นการวิ่งเต้นล้มคดีหรืออวดอ้างสรรพคุณใดๆ ที่ตรวจสอบไม่ได้
คำเตือน
อย่าหลงเชื่อบุคคลซึ่งมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้
1. บุคคลแอบอ้างวิ่งเต้นประกันตัวได้
มีผู้ต้องหาคดียาบ้าถูกหลอกลวงมาร้องเรียนที่นี่เป็นจำนวนมาก
2. ทนายความที่ไปเยี่ยมจำเลยในเรือนจำโดยไม่ได้ร้องขอและเสนอตัวต่อผู้ต้องขังให้จ้างตนเองเป็นทนายความ โดยอ้างว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น มีเส้นสายกับตำรวจ อัยการ
การกระทำดังกล่าวเป็นการผิดมรรยาททนายความมีเรื่องร้องเรียนจำนวนมาก
3. ตำรวจชุดจับกุม พนักงานสอบสวน
เรียกรับเงินเพื่อล้มคดี กลับคำให้การพยาน ทำให้พยานหลักฐานอ่อน ถ่ายสำนวนการสอบสวนให้ผู้ต้องขัง
หลังจับกุมแนะนำให้ทนายของตัวเองโทรหาญาติผู้ต้องหาให้จ้างทนาย โดยมีการเรียกเงินหรือผลประโยชน์
4. ทนายความหรือบุคคลที่อ้างว่าสามารถซื้อใบ
100/2 ได้เพื่อลดโทษ
มีการหลอกลวงผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นจำนวนมากถึงแม้จะจัดทำขึ้น
แต่ศาลไม่นำไปลดโทษและไม่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยเนื่องจากศาลไม่เชื่อว่ามีการให้เบาะแสเพราะจำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ
มีการเร่ขายตามเรือนจำมากมาย โดยนักกฎหมายราคาใบละ 80,000
ถึงหลายแสนบาท
5. บุคคลหรือทนายความที่อ้างว่าเคลียร์พนักงานสอบสวนได้หรือลดจำนวนยาเสพติดได้
มีผู้ต้องหาถูกหลอกมาร้องเรียนที่นี่เป็นจำนวนมาก
“ เตือนผู้ต้องหาที่ถูกจับ ซึ่งมีความทุกข์อยู่แล้ว
อาจะมีความทุกข์เพิ่มเติมถ้าพบพฤติการณ์ของบุคคลดังกล่าวข้างต้น "
การวางแผนต่อสู้คดียาเสพติดของทนายความมืออาชีพ ต้องพิจารณาสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1. บันทึกการจับกุมสำคัญที่สุด
ต้องตรวจสอบบันทึกการจับกุมของตำรวจหรือปปส.
เพราะถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในคดี
ตำรวจจะเบิกความขยายผลหรือขัดกับบันทึกการจับกุมหรือแตกต่างกันไม่ได้ และตำรวจต้องมอบสำเนาบันทึกการจับ
ป.วิ.อ.มาตรา 84(1) (ฎีกา 6836/2541,3607/2538, 2705/2539, 63/2533,408/2485)
2. ถ้ามีถ้อยคำรับสารภาพในชั้นจับกุม ป.วิ.อ.มาตรา 84
วรรคสี่
ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลย ดังนั้น ถึงแม้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ก็ไม่ได้มีผลเสียต่อรูปคดี
ยังสามารถให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นศาลได้
หากมิได้กระทำความผิดและมีพยานหลักฐานหักล้างโจทก์ได้
3. คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวนจะต้องมิได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญ
ถ้าให้การเพราะถูกบังคับจากตำรวจ ถือว่ารับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้ผู้ต้องหารับสารภาพ
ก็ยังกลับคำให้การในชั้นศาลต่อสู้คดีได้ หากมีพยานหลักฐานอื่นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์
ตัวอย่างที่ศาลยกฟ้อง เช่น คำเบิกความของตำรวจชุดจับกุมซึ่งเป็นพยานคู่ แตกต่างกันในสาระสำคัญ
เช่น สายลับ การส่งมอบยาเสพติด
จำนวนยาเสพติด
แหล่งที่พบยาเสพติด
สถานที่ที่พบยาเสพติด
ยานพาหนะที่ใช้ในการขนยาเสพติด
หรือแตกต่างจากคำให้การของตนเองในชั้นจับกุม
บันทึกการจับกุมในชั้นสอบสวนหรือแตกต่างจากบัญชีของกลาง แผนที่สังเขปที่ตัวเองเป็นผู้จัดทำขึ้น
เป็นต้น (ฎีกา 1567-1568/2479,
8021/2544,6370/2539,7562/2537)
4. ถ้อยคำอื่นในบันทึกการจับกุมของผู้ต้องหา เช่น ยอมรับว่าได้ซื้อยาบ้ามาจากนาย ก.
ยอมรับว่าค้ายามานานแล้ว
ยอมรับว่านำยาบ้าไปซุกซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่ง รับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดจำเลยได้
ถ้าก่อนที่ตำรวจจะถามผู้ต้องหาได้เตือนผู้ต้องหาให้รู้ตัวก่อนว่า
ถ้อยคำเกี่ยวกับยาเสพติดจะสามารถรับฟังลงโทษผู้ต้องหาได้ และต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า
จะให้ถ้อยคำหรือไม่ก็ได้
จึงจะรับฟังลงโทษผู้ต้องหาได้
ป.วิ.อาญา มาตรา 84 วรรคท้าย (ฎีกา 3254/2553) ถ้อยคำอื่นในชั้นจับกุมของผู้ต้องหาหากเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไป
ผู้ต้องหายังสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาคดีให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ เช่น ไม่ได้ให้ถ้อยคำดังกล่าว หรือถ้อยคำดังกล่าวขัดต่อเหตุผลไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นต้น
5. ของกลางขณะถูกจับ ถ้ามิได้อยู่กับผู้ต้องหา
โอกาสต่อสู้คดีมีมาก
แต่ถ้าตำรวจยัดยาหรือเขียนลงในบันทึกการจับกุมว่า จับได้พร้อมของกลาง
โดยทั่วไปมุขของตำรวจมักจะระบุว่า จับได้ในมือข้างขวาหรือกระเป๋ากางเกงด้านขวา เป็นมุขเก่าๆ ดังนั้น
ถ้าตำรวจยัดข้อหาดังกล่าวจะต้องไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม และให้ร้องขอความเป็นธรรมว่า
ถูกยัดยาหรือจับกุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
อันนี้ก็เป็นข้อต่อสู้ที่ต่อสู้ได้ ป.อ.มาตรา 83(ตัวการร่วม) ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น
ยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด
เป็นยาบ้าจำนวนมากไม่น่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของจำเลยเพราะอาจแตกเสียหายได้
หรือยาบ้าบรรจุอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ล็อคด้วยกุญแจพร้อมรหัส
หรือยาบ้าวางอยู่กลางบ้านเปิดเผย
หรือยาบ้าจำนวนน้อยอยู่ในกระเป๋ากางเกง หากจำเลยค้ายาบ้าจริง น่าจะถือไว้ในมือเพราะง่ายต่อการโยนทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานหรือตำแหน่งที่จำเลยอยู่ห่างไกลจากยาเสพติด เป็นต้น
6. ของกลางที่พบในบ้านของผู้ต้องหา ถ้ามีผู้ต้องหาคนหนึ่งรับเป็นเจ้าของแล้ว เช่น
สามีรับสารภาพว่าเป็นของตนเอง
ส่วนใหญ่ภรรยาจะหลุด
ตำแหน่งที่พบของกลาง ถ้าซุกซ่อนปกปิดมิดชิดอยู่ คนที่ต้องติดคุกคือเจ้าของห้อง แต่บุคคลอื่นที่อยู่ในห้องอาจมีข้อสงสัยว่า
อาจจะไม่ทราบว่ามียาเสพติด ยังมีลู่ทางต่อสู้อยู่ ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น ไม่ได้พักอาศัยอยู่เป็นประจำ
กลับบ้านดึก
หรือมีบุคคลอื่นเข้าออกหลายคน
7. คำซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน มีน้ำหนักน้อย
ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยลำพัง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา
227/1
จะต้องมีพยานหลักอื่นประกอบ
นอกจากคำซัดทอด เช่น พบยาเสพติดของกลางเพิ่มเติม เป็นต้น (ฎีกา 1014/2540,758/2487)
ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น พยานถูกจับข้อหาค้ายาเสพติด
ซัดทอดจำเลยเพื่อต้องการลดโทษหรือตำรวจสัญญาว่าจะกันไว้เป็นพยาน คำให้การดังกล่าวไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
8. ธนบัตรล่อซื้อ
การพบธนบัตรในตัวผู้ต้องหาไม่ได้หมายถึงว่า ได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติด
หากมีช่องว่างไม่ใกล้ชิดติดต่อกับช่วงเวลาจำหน่ายยาเสพติด
และโจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่าเห็นจำเลยจำหน่ายยาเสพติด อาจมีข้อสงสัยว่าจำเลยอาจรับธนบัตรไว้ด้วยเหตุผลอื่นก็เป็นได้
ตำรวจจะลงประจำวันก่อนหรือจะไม่ลงประจำวันก็ได้ (ฎีกา 270/2542)
9. การล่อซื้อยาเสพติดของตำรวจ ถ้าผู้ต้องหามียาเสพติดอยู่แล้ว และสายลับล่อซื้อถือว่าทำได้
ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2(10) และเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายตามความจำเป็นและสมควรแต่ถ้าผู้ต้องหาไม่ได้มียาเสพติดไว้ในความครอบครอง
แต่ไปบังคับหรือใช้ให้ไปหายาเสพติดมาส่งมอบให้ตำรวจ ถือว่า
เป็นการล่อซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานที่ได้มาจากการล่อซื้อรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ (ฎีกา 4301/2543, 4077/2549,4085/2545)
10.ยานพาหนะที่ใช้ในการส่งมอบยาเสพติดต้องถูกริบแต่ในทางปฏิบัติตำรวจมักเรียกเงินจากผู้ต้องหาและปล่อยรถไป แต่ถ้ารถยนต์ติดสัญญาเช่าซื้อ ต้องแจ้งยกเลิกสัญญากับบริษัทไฟแนนซ์แล้วให้ไฟแนนซ์ไปขอรถคืนจากตำรวจ
11.การหาทนายความว่าความคดียาเสพติด ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้
- มีประสบการณ์คดียาเสพติดมายาวนาน
มองคดีทะลุปรุโปร่ง
- มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ไม่เน้นการวิ่งเต้น ยัดเงินให้ตำรวจ พวกนี้เรียกว่านักวิ่งความ ไม่ใช่ว่าความ
เป็นภัยสังคม
- มองคดีแบบบูรนาการครบทุกด้าน
- มีแผนในการต่อสู้คดีที่สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ
- เปิดเผยแผนได้
ไม่ใช่อ้างว่าเป็นความลับบอกไม่ได้
- ต้องเน้นตัวบทกฎหมาย เวลาให้คำปรึกษากับตัวความ
- ยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาขึ้นมาสนับสนุนคำปรึกษาของตนเองว่าศาลฎีกาเคยวางแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยและยกฟ้อง
เป็นต้น
ทุกวันนี้มีการจับกุมคดียาเสพติดเป็นจำนวนมาก
แล้วเมื่อจับผู้กระทำความผิดได้แล้ว
ตำรวจมักจะทำการขยายผลเพื่อหาตัวผู้บงการใหญ่ซึ่งอยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติด
โดยวิธีการของตำรวจมักจะเนินการด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. บังคับให้ผู้กระทำความผิดใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองโทรไปหาบุคคลซึ่งติดต่อค้าขายยาเสพติดด้วย
และให้หลอกล้อเพื่อนัดส่งยาเสพติด
2. หลังจากนั้นจึงสะกดรอย เพื่อรอจังหวะในการจับกุม
3. ตำรวจมักจะชักจูงให้ผู้กระทำความผิดที่จับได้โดยต่อรองว่าให้ความร่วมมือกับตำรวจ
จะปล่อยตัวไป ส่วนใหญ่ผู้ต้องหามักกลัวและยอมทำตาม
4. เมื่อจับตัวผู้กระทำความผิดได้เพิ่มขึ้นแล้ว บางครั้งตำรวจก็ปล่อยตัวไป
บางครั้งก็ลดจำนวนยาเสพติดของกลางให้ เช่น 4,000 เม็ด เหลือ 2,000 เม็ด
หรือบางครั้งไม่มีการลดจำนวนยาเสพติด
5. สายลับของตำรวจ บางครั้งก็เป็นพวกขี้ยา ,บางครั้งก็เป็นตำรวจไม่แน่นอน
6. แหล่งผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า
, กัมพูชา , ลาว ยากในการจับกุม
7. ในกรณีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ให้ความช่วยเหลือกับทางราชการในการขยายผล กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ร.บ.
ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2
ให้ศาลใช้ดุลยพินิจลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ ที่กำหนดสำหรับความผิดนั้นก็ได้
ดังนั้นเมื่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ความช่วยเหลือในการบอกข้อมูลสำคัญ
และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้กับเจ้าพนักงานหรือ ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน
ศาลจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น มียาบ้าประมาณ 2,000 เม็ด เมื่อรับสารภาพศาลอาจลงโทษจำคุกเพียง 4 ปี เป็นต้น
บทสรุปเมื่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดถูกจับ
ควรให้ความร่วมมือในการขยายผล เพื่อหาตัวการใหญ่ เพราะจะได้ประโยชน์จากมาตรา 100/2
ท่านสามารถเข้าไปฟังคำแนะนำจาก อ.เดชา กิตติวิทยานันท์ ได้จากหน้าแรกของเว็บไซต์ www.decha.com ในคอลัมน์คลิปเสียง/รายการวิทยุในหัวข้อวิเคราะห์คดีดังหรือลิงก์นี้ค่ะwww.decha.com/main/showTopic.php?id=4982,www.decha.com/main/showTopic.php?id=8431