งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ
ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ
สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ
รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ
เบิกความเท็จ ต้องเท็จในข้อสำคัญ
การที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จ ต้องได้ความว่า คำเบิกความของจำเลยอันเป็นเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดีเมื่อศาลไม่ได้นำคำเบิกความของจำเลยมาพิจารณาวินิจฉัยติดสินคดี คำเบิกความของจำเลยจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี
คำพิพากษาฎีกาที่ 3004/2562
ในการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์มีหน้าที่นำพยานมาไต่สวนเพื่อให้ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิด คดีจึงจะมีมูล ซึ่งตาม ป.อ. มาตรา 177 บัญญัติว่า “ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี...” ดังนั้นในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต้องได้ความว่า คำเบิกความของจำเลยอันเป็นเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดีจึงจะครบองค์ประกอบความผิด แต่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนว่า ในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอบที่ดินพิพาทและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนโดยไม่ได้นำคำเบิกความของจำเลยในคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยและปรากฏตามคำสั่งศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่า ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงชอบแล้ว จึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง โดยไม่ได้นำคำเบิกความของจำเลยมาพิจารณาแต่อย่างใด คำเบิกความของจำเลยในคดีดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี กรณีจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง คดีโจทก์ฐานเบิกความอันเป็นเท็จจึงไม่มีมูล
ความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตาม ป.อ. มาตรา 180 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นพยานเบิกความต่อศาล จำเลยมีฐานะเป็นพยาน ไม่ใช่เป็นผู้นำพยานเข้ามาสืบพยานเป็นหลักฐานในคดี ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดดังกล่าวแจ่โจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนนี้ โดยชัดแจ้งแต่อย่างใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216
ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 177 ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
มาตรา 180 ผู้ใดนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ถ้าเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดีนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท