คลิป/ไฟล์เสียง วิเคราะห์คดี สั่งประหาร ส.ต.อ.ประสาท ตร.ประชาชื่น ยิงจ่อหัว สห.ชัยวุฒิ
ศาลอาญาสั่งประหารอดีตตำรวจสืบสวน สน.ประชาชื่น ปืนโหดจ่อยิงศรีษะ สารวัตรทหาร ดับคา จยย.ใกล้ตลาดนัด เหตุไม่พอใจจับกุมซีดี แต่ให้ยกฟ้องเพื่อนตำรวจอีกคน เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาประหารชีวิต ส.ต.อ.ประสาท จันทิมา อายุ 32 ปี อดีต ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน. ประชาชื่น จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2551 เวลา 17.00 น. จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้ปืนพกสั้น ยิง ส.ต.ชัยวุฒิ โดยเจตนาฆ่าไตร่ตรองไว้ก่อน จนถึงแก่ความตายเนื่องจากจำเลยทั้งสองโกรธเคืองที่ผู้ตายเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับการจับกุมพ่อค้าซีดี เพราะผู้ตายเข้าใจว่า พวกจำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และเกิดโต้เถียงกัน จนจำเลยทั้งสองไม่พอใจ ใช้อาวุธยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเจตนาฆ่าโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย เหตุเกิดที่แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพ ฯ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า วันเวลา – เกิดเหตุ จำเลยทั้งสองเข้าจับกุมผู้ค้าที่จัดแผงขายซีดีบริเวณตลาดนัด ใกล้กับแฟลตที่พัก หน้าอาคารสวัสดิการประชาชื่น กองบัญชาการทหารสูงสุด ถ.เลียบคลองประปา แขวงและเขตจตุจักร ขณะที่ผู้ตาย และ จ.ส.อ.วิชิต เอื้อเฟื้อกลาง เพื่อนของผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้เสียหายคดีนี้ด้วย ได้ขี่รถจักรยานยนต์ไปซื้อของที่ตลาดนัด พบเห็นเหตุการณ์จำเลยจับกุมพ่อค้าขายซีดี จึงสอบถามจำเลย ซึ่งบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมโชว์อาวุธปืนที่เอว และผู้ตายได้ชักปืนออกมาเช่นกัน ระหว่างนั้นทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกัน ร.ต.(ยศขณะนั้น) พิเชฏฐ์ พิมพ์ทอง ผู้บังคับหมวด ร้อย สห.กรมยุทธบริการทหาร พบเห็นเหตุการณ์จึงเข้ามาแยกทั้งสองฝ่าย หลังขอตรวจบัตรประตัวข้าราชการแล้วว่าเป็นตำรวจจริง แต่เมื่อผู้ตายซื้อของเสร็จ และกำลังจะเดินไปที่รถจักรยานยนต์โดยมือซ้ายถือถุงหมูย่าง ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เดินตามมาที่รถจักรยานยนต์แล้วชักปืนขึ้นมาจ่อยิง จนผู้ตายที่กำลังคร่อมขี่รถล้มลงกับพื้น และรถล้มทับ
ส่วนพยานโจทก์ซึ่งเป็นคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง เบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 ชักปืนขึ้นมาจ่อยิงที่บริเวณศีรษะผู้ตายจนล้มลง จำเลยที่ 1 ได้หยิบซองปืนที่เอวผู้ตายออกมาแล้วใช้เท้าเขี่ยปืนออกจากซอง ไปที่บริเวณมือขวาของผู้ตาย ขณะที่มือซ้ายของผู้ตายยังกำถุงข้าวเหนียวไว้ นอกจากนี้ยังมีพยานซึ่งเป็นผู้ค้าขายรายอื่นให้การว่า ขณะที่เกิดเหตุเห็นผู้ตายและจำเลยโต้เถียงกันก่อน
เห็นว่าพยานโจทก์ ไม่เคยรู้จัก หรือมีเหตุโกรธกับจำเลยมาก่อน จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยิงผู้ตาย ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะให้การปรักปรำจำเลยเพื่อรับโทษอาญา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 กระทำการโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้และโดยทรมานหรือทารุณโหดร้ายหรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าที่เดินตามผู้ตายไปที่รถ จยย.เพื่อจับกุมคดีอาวุธปืนเพราะกลัวว่าจะหลบหนี แต่ปรากฏว่าเมื่อเกิดเหตุโต้เถียงและต่างฝ่ายแสดงอาวุธปืนแล้วนาน 5 นาที กว่าที่ผู้ตายจะเดินจากบริเวณตลาดนัดไปที่รถ จยย. หากจะจับกุมหรือตรวจสอบอาวุธปืน จำเลยที่ 1 ก็น่าจะกระทำโดยทันที ไม่ต้องรอให้เวลาล่วงเลย ซึ่งหลังจากการโต้เถียงแล้วผู้ตายเดินจากมา จำเลยที่ 1 ได้บอกกับจำเลยที่ 2 ว่า “ เฮ้ยไอ้อ้วนรอกูก่อน เดี๋ยวกูมา ” แล้วเดินไปหาผู้ตายขณะคร่อมขี่รถจักรยานยนต์และก่อเหตุ
ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ม. 289(4) ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และป้องกันตัวตามข้อกล่าวอ้างจำเลยที่ 1 ยกขึ้นมาต่อสู้ แม้ผลการตรวจวิถีกระสุน พบว่า เป็นลักษณะการยิงจากซ้ายไปขวา บนลงล่าง โดยผู้ตายเสียชีวิต เนื่องจากเสียเลือดมากเพราะหัวกระสุนตัดเส้นเลือดแดงด้านหลังผู้ตาย ซึ่งพยานโจทก์ที่แพทย์ ระบุว่า ภายหลังถูกยิงหากนำตัวผู้ตายส่ง รพ.ก็ยังต้องเสียชีวิต จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยทารุณ ฯ
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดขณะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา 157 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อกระทำการเป็นความผิดส่วนตัว จึงไม่ผิดม.157 อีก พิพากษาให้ประหารชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน