ผู้เช่าซื้อแจ้งความร้องทุกข์ ไม่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากไฟแนนซ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4965/2565
จำเลยยักยอกรถยนต์ของบริษัท ต.จาก อ. โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ครอบครองในฐานะผู้เช่าซื้อ เมื่อในขณะเกิดเหตุกระทำความผิด โจทก์ร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์รถที่เช่าซื้อ การกระทำของจำเลยย่อมทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายโดยตรง ดังนั้น โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยและมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ โจทก์อำนาจฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเพียงพอที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยกล่าวอ้างว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำได้ และเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเพียงแต่ลดโทษจำคุกจำเลยลงเป็นจำคุก 2 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี แต่ยังไม่เกิน 5 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยรับซื้อและครอบครองรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา หมายเลขทะเบียน 7 กฌ 133 กรุงเทพมหานคร ราคา 569,000 บาท ของบริษัทโตโยต้าลิสซิ่ง(ประเทศไทย) จำกัด จากนาย อ. ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ครอบครองในฐานะผู้เช่าซื้อ ก่อนที่จะขายให้แก่จำเลยในลักษณะขายดาวน์ โดยผู้เสียหายส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยครอบครองในวันดังกล่าว หลังจากที่จำเลยครอบครองรถยนต์ของผู้เสียหายถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยเบียดบังยักยอกเอารถยนต์คันดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของจำเลยหรือบุคคลอื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 569,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณา นาย อ. ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 399,724 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให่จำคุกจำเลย 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า รถยนต์ที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท โตโยต้าลิสซิ่ง (ประเทศไทย)จำกัด ไม่ใช่ของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้คู่ความมีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ แม้จะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยเห็นว่า เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพว่า จำเลยยักยอกรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา หมายเลขทะเบียน 7 กฌ 133 กรุงเทพมหานคร ของบริษัท โตโยต้าลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด จากนาย อ. โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ครอบครองในฐานะผู้เช่าซื้อ เมื่อในขณะเกิดเหตุกระทำความผิด โจทก์ร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์รถที่เช่าซื้อดังกล่าว การกระทำของจำเลยย่อมทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายโดยตรง โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย และมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งไปแล้ว การที่โจทก์ร่วมนำมูลคดีแพ่งที่เคยพิพาทมาก่อนมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า แม้ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งจำเลยมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ก็ตาม แต่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ดังนี้ หากจำเลยประสงค์ที่จะต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำแล้ว จำเลยต้องถามค้านพยานโจทก์และโจทก์ร่วมหรือนำพยานหลักฐานเข้าสืบในชั้้นพิจารณาให้ปรากฎข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไว้ เพื่อให้ศาลฎีกานำข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นมาวินิจฉัยฎีกาของจำเลย แต่คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่ได้มาจากดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเพียงพอที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังที่จำเลยกล่าวอ้างได้ และเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งและมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้มานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเพียงแต่ลดโทษจำคุกจำเลยลงเป็นจำคุก 2 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี แต่ยังไม่เกิน 5 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
#ทนายคลายทุกข์ #หนังสือมอบอำนาจ #แจ้งความร้องทุกข์ #ไฟแนนซ์ #ยักยอก
#ปรึกษาคดี โทร.02-9485700, 081-6161425, 081-8217470, 081-6252161