คิดว่าผัว..ตัวเอง
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี่เอง ชายหนุ่มวัย 50 ปี โทรศัพท์มาหาดิฉันมีความประสงค์ให้ติดตามพฤติกรรมภรรยา การบ้านลูกก็ไม่ยอมสอนอ้างว่าทำงานเหนื่อย มีรถแต่ไม่ขับรถไปทำงาน หวาดระแวงว่าสามีจะติดตั้งเครื่อง GPS บางวันกลับดึกอ้างทำโอที งานเร่งด่วนต้องรีบส่งให้ลูกค้า ไม่ยอมรับโทรศัพท์ กลับบ้านเกือบสว่าง พฤติกรรมบางอย่าง เช่น ชอบดื่มเบียร์ สามีก็ไม่ทราบ และมีอีกหลายเรื่องที่ชวนให้สงสัย
สามีไปเช็ครายการใช้โทรศัพท์ของเธอมา มีหมายเลขซ้ำๆ จึงโทรไปเสียงปลายทางรับสายบอกว่าเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร ไปถามภรรยาเธอบอกว่า เป็นเด็กร้านอาหารติดต่อให้เพื่อน เคยเจอกันครั้งหนึ่งที่ร้านอาหารตอนที่ไปกินข้าว นี่เป็นสิ่งที่เธอบอก “แต่ผมก็หวาดระแวงอยู่ดี มันแปลกๆ ติดต่อให้เพื่อนทำไมเธอโทรหาผู้ชายคนนั้นทุกวัน เพราะเมื่อหลายปีก่อน ผมจับได้ว่าเธอมีชู้ เธอก็มากราบขอโทษ ผมก็ให้อภัยไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะเห็นแก่ลูกยังเล็ก ถ้าจับได้ว่าครั้งนี้เธอไปมีชู้อีก ผมเลิกแน่นอน” นี่คือสิ่งชายหนุ่มวัย 50 ปี ยืนยันกับนักสืบ “ผมไม่ได้จะปรักปรำเขา ถ้าไม่มีหลักฐาน เธออายุน้อยกว่าผมตั้ง 15 ปี หรือเขาจะเห็นว่าผมแก่” ชายหนุ่มวัย 50 ปี คนนี้พูดจาดูสุภาพมาก ตัวเล็กๆ ผิวขาว ดิฉันเห็นรูปภาพเป้าหมายก็อึ้งนิดหน่อย เธอสวยทีเดียว แต่งตัวดูเปรี้ยวปรี๊ด วัยรุ่นมาก ผิวขาว อายุประมาณ 30 ปีเศษ ถ้าหากสองคนนี้ไปเดินด้วยกันคนคงมองว่า พ่อกับลูก(ดิฉันคิดในใจ) เขาได้ระบายความในใจหลายเรื่องเกี่ยวภรรยา “ผมขอบคุณคุณกุ้งมากที่รับฟังผม ให้คำแนะผม ตกลงผมให้คุณกุ้งดำเนินการเรื่องนี้ให้และจะรอฟังข่าวนะครับ เรื่องกำหนดวันทำงานจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ” เป็นว่าตกลงตามนั้น ส่งมอบข้อมูลของเป้าหมายที่จะให้นักสืบติดตามพฤติกรรมภรรยา
เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การเงินของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับธุรกิจประกันภัย เริ่มทำงานตั้งแต่ 08.00 -17.00 น. เรื่องเวลาไม่มีปัญหา เพราะในเวลางานเธอแว๊บหายไม่ได้อยู่แล้ว สำคัญคือหลังเลิกงาน วันแรกของการทำงานเธอไม่ได้ขับรถมาทำงานซะด้วยซิ ค่อนข้างจะยากสักนิดเพราะทางออกของอาคารมีหลายทาง ดิฉันจึงสั่งทีมงานสาวๆ 3-4 คน ไปช่วยกัน ต้องเฝ้าจับตาดูทุกทางออก อาคารแห่งนี้มีหลายบริษัท พนักงานสาวๆ เยอะมาก ค่อนข้างจะสังเกตยาก แต่งตัวคล้ายๆกัน หน้าตาดี สวย สไตล์วัยรุ่น ดิฉันจึงวางแผน สั่งทีมงานทุกคน ถ่ายรูปบุคคลที่คล้ายและสงสัยส่ง Line ให้ผู้ว่าจ้างดูว่าใช่เป้าหมายหรือไม่ งานนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดกว่าผู้ว่าจ้างจะตอบกลับมา เราต้องตัดสินใจตามไปก่อน บางคนนั่งรอรถเมล์ บางคนขึ้นสองแถวไปแล้ว กว่าจะรู้ว่าคนไหนคือเป้าหมายก็เหงื่อตกพอสมควร เพราะวิ่งตามคนโน้นทีคนนี้ที ปรากฏว่าเธอเดินออกทางด้านหลังของอาคาร ถ่ายรูปส่ง Line ให้ผู้ว่าจ้างยืนยันว่าใช่ ทีมงานติดตามไป เธอนั่งสองแถวไปต่อด้วยรถสามล้อ แวะซื้อกลับข้าวเข้าบ้าน วันนี้เหตุการณ์ปกติแต่นักสืบล้าไปหมด มัวแต่วิ่งหาเป้าหมาย พรุ่งนี้ไม่มีปัญหา เพราะรู้จักหน้าเธอแล้ว เห็นแค่หลัง ด้านข้างก็จำได้ สามีเธอบอกว่าพรุ่งนี้ให้ติดตามต่อเลย เพราะเธอบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับดึก น่าสงสัยและให้เริ่มงานตั้งแต่เช้าเฝ้าปากซอยบ้าน “ได้คะ ไม่มีปัญหา” ดิฉันสั่งทีมงานไปแต่เช้าก่อน 07.00 น. เพราะรถติดมากต้องไปรอก่อน ปรากฏว่าวันนี้เธอออกจากบ้าน 09.30 น. ขับรถยนต์ไปด้วย สอบถามสามีเธอบอกว่า “เค้าบอกผมว่าจะเอางานไปส่งลูกค้าก็เลยออกสาย ยังไม่เข้าออฟฟิต” “อ๋อ!คะ” ไม่เห็นจะเป็นจริงตามที่บอกเลย เธอขับรถออกจากบ้านก็ขับไปที่ทำงานเลยไม่ได้แวะไปหาลูกค้าที่ไหน “พี่กุ้งไม่เห็นเป้าหมายแวะไปหาลูกค้าตามที่พี่บอกเลย” “อือ! หล่อนอาจลืมเอกสารมั้ง ก็รอดูไปก่อน” เวลาผ่านไปจนได้เวลาเลิกงาน “พี่คะ เป้าหมายยังไม่ออกจากที่ทำงานเลย” “เหรอ เฝ้าต่อไป” ทุกครั้งคุยกะทีมงาน ดิฉันก็จะส่ง Line รายงานลูกค้าไปด้วย จนกระทั่งเวลา 18.00 น. เป้าหมายขับรถออกจากที่ทำงาน แล้วขึ้นทางด่วน มุ่งหน้ารามอินทรา เอ๊ะ! คนละเส้นทางที่จะกลับบ้านนี่นา ผู้ว่าจ้างแจ้งว่าเธออาจจะไปแถวรามอินทรา เพราะร้านอาหารที่เด็กหนุ่มคนนั้นทำงานอยู่แถวนั้น ทีมงานน้องๆขอความช่วยเหลือ ดิฉันให้คุณเพรชซี่ นักสืบอาวุโส ไปช่วยน้องๆ เพรชซี่รับคำสั่งรีบขับรถไปดัก เห็นรถของเป้าหมายกำลังจะลงทางด่วนรามอินทรา ผู้ว่าจ้างบอกว่า “ผมจะไปด้วยช่วยส่ง Line บอกเส้นทางให้ด้วย” เธอแวะรับเด็กหนุ่มอายุประมาณไม่เกิน 30 ปี รูปร่างดำใหญ่ (ยังกะทหารพรานงั้นแหละ..แต่ดูเฉียงๆก็โอเคนะ)ขับรถตามไปมุ่งหน้ามีนบุรี เข้าหมู่บ้านลักษณะปลูกเอง เป็นหลังๆไม่ติดกัน จอดหน้าบ้านหลังหนึ่งเปิดประตูแล้วก็นำรถเข้าไปจอดด้านในเรียบร้อย เอ๊ะ! บ้านญาติหรือบ้านน้า! (จินตนาการไปเรื่อย) แต่ผู้ว่าจ้างบอกเธอไม่มีญาติที่นี่เลย บ้านหลังนี้อยู่เป็นครอบครัวเพราะมีคนเข้าออกหลายคน เพรชซี่และน้องๆนักสืบซุ่มอยู่หลายคน เมื่อผู้ว่าจ้างมาถึงเห็นรถจอดในบ้านหลังนี้ก็ปี๊ดขึ้นสมอง บอกกับคุณเพรชซี่ว่า “ผมมีปืนมาด้วย” เพรชซี่ตกใจรีบโทรศัพท์หาดิฉัน “เอาไงดีล่ะ พี่เค้าบอกว่าพกปืนมาด้วย” ดิฉันรีบบอกห้ามให้เกิดเรื่องและให้ไปเรียกตำรวจมา เดี๋ยวจะมีปัญหาได้ เพรชซี่รีบจัดการ ในขณะนั้นเขาก็โทรศัพท์เรียกเธอออกมา ตอนแรกเธอปฏิเสธบอกประชุมอยู่ แต่คงมองลงมาเห็นสามีอยู่หน้าบ้านก็คงตกใจ รีบปิดบ้านเงียบ นักสืบที่แอบดูอยู่ เห็นเด็กหนุ่มปืนหน้าต่างจะกระโดนหนีจังหวะดีที่ตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงเลยจับตัวไว้ก่อน ส่วนเธอก็เดินออกมาจะขับรถหนี แต่สามีแย่งกุญแจไป เธอวิ่งไปขึ้นแท็กซี่จะหนี เพรชซี่รีบวิ่งไปกระโดดขวาง “จะไปไหน” และไปลากตัวเธอลงจากแท็กซี่ ตายแล้วนักสืบชั้นทำไมบู้ขนาดนี้นะ ดีนะวันนั้นชุลมุนกัน ไม่งั้นซวยโดนเล่นงานแน่ เธอมองหน้าเพรชซี่คงจะงงว่า “อีนี่มึงเป็นใคร” ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหน เพรชซี่โทรรายงานดิฉันตลอดถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้น “ลืมตัวคิดว่ามาช่วยผัวตัวเอง” “555” ขำไม่ออกเลยงานนี้ถ้ามีเรื่อง ตำรวจได้เชิญสามีภรรยาไปตกลงกันสถานีตำรวจ เมื่อหมดภารกิจต่างคนต่างแยกย้ายกันไป แต่นักสืบก็ต้องเสือกเป็นเรื่องปกติ หาข้อมูลต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ความว่า พ่อแม่ฝ่ายเด็กหนุ่มเล่าให้ฟังว่า เธอบอกว่าเป็นหม้ายมีลูกติดหนึ่งคน เลิกกับสามีมานานแล้ว คบกับลูกชายได้ประมาณปีกว่า ได้จุนเจือเรื่องเงินทองลูกชายอยู่ เพราะลูกชายทำงานเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ เธอจะแวะมาสัปดาห์ละครั้ง ส่วนใหญ่จะไม่ค้าง ไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ ทั้งหมดนี้เธอเป็นคนแต่งเรื่องขึ้นเองเหรอ
สุดท้ายก็จบด้วยการหย่า แต่ยังอาศัยอยู่ด้วยกันเพราะฝ่ายสามีไม่ต้องการให้ลูกขาดแม่ เธอถือว่าเป็นโชคดีนะที่มีสามีดีแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นเจ็บตัวยังไม่พอไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นแล้ว ไม่โชคดีเสมอไปหรอกนะ..ดูคนดูที่ใจ อย่าดูแค่ใบหน้า ความสวยความหล่อช่วยอะไรไม่ได้หรอก นึกถึงสุภาษิตไทย “ไม่มีมูลหมาไม่ขี้” มีปัญหาปรึกษานักสืบกุ้งได้คะ