ให้ไป...ถามพระ
แค่เห็นชื่อเรื่อง ก็แปลกแล้วใช้มั้ยละคะ ช่วงนี้มีข่าวพระตามอินเตอร์เน็ตบ่อยส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องไม่ดี แต่งานนี้ไม่ใช่คะ อยากรู้ว่าไปถามพระ....เรื่องอะไรต้องติดตามอ่านให้จบค่า! ผู้ว่าจ้างรายนี้เป็นหนุ่มวัย 40 ปีเศษ โทรมาจากจังหวัดร้อยเอ็ด ทำอาชีพเป็นครู ภรรยาก็มีอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติเช่นกัน แต่สอนคนละโรงเรียน แต่งงานมาประมาณ 10 เศษปีมีบุตรชายด้วย 1 คน อายุ 8 ขวบ อยู่กับยายที่กรุงเทพ ปัจจุบันเขาและเธอได้แยกบ้านกันอยู่ ภรรยาไปพักอาศัยบ้านญาติในตัวจังหวัด สามีพักที่บ้านพักครูในโรงเรียน รายละเอียดที่มาที่ไป ไม่ทราบเพราะเขาไม่เล่าให้นักสืบฟัง บอกแต่วัตถุประสงค์ว่า สงสัยในตัวภรรยา ทุกเดือนเธอจะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพเดือนละ 1-2 ครั้ง ซึ่งอ้างว่าไปเยี่ยมลูกที่อยู่กับยาย แล้วจะพักที่กรุงเทพครั้งละ 2-3 วัน หรือถ้ามีวันหยุดเธอก็เข้ากรุงเทพทันที ประกอบกับแว่วๆว่ามีหนุ่มมาพัวพันภรรยา พอถามไปเธอก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อนกัน ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าสมัยนักเรียน ช่วงวันหยุดยาวที่จะถึงนี้ เธอจะเดินทางเข้ากรุงเทพโดยเครื่องบิน เขาจึงต้องการให้นักสืบติดตามพฤติกรรมในระหว่างที่เธออยู่กรุงเทพ หลังจากที่พูดคุยกันเกือบสองชั่วโมง ตกลงให้ทำงาน ก็ส่งข้อมูลเป้าหมายผ่านทางอีเมล์มา เมื่อได้รับข้อมูลเรียบร้อยดิฉัน(นักสืบกุ้ง)ได้เรียกทีมงานมาประชุมเพื่อวางแผนการทำงานและมอบหมายภารกิจนี้ให้กับคนที่เหมาะสมไปทำงาน คือส้มโอกับคุ๊กกี้ ซึ่งเป็นคู่หูกัน เมื่อถึงวันทำงาน ส้มโอและคุ๊กกี้ ประจำตำแหน่งที่สนามบินดอนเมือง เพื่อรอรับเป้าหมาย เอ้ย ! เฝ้าคอยดูเป้าหมายว่ามีคนมารับหรือไม่ เป็นใครอย่างไร
ลงรันเวย์ไปได้ประมาณ 20 ปี เห็นเธอลากกระเป๋าออกมาทางขาออก แต่ก่อนที่เธอจะออกได้โทรบอกสามีแล้วว่า “ถึงสนามบินดอนเมืองแล้ว เดี๋ยวน้องสาวจะมารับ” ผู้ว่าจ้างก็แจ้งมาที่นักสืบว่า น้องสาวเขาจะมารับนะ เป็นอันว่ารับทราบเช่นกัน เธอเดินออกทางประตู 7 ยืนมองซ้ายขวาเหมือนรอใครอยู่ ไม่เกิน 5 นาที ก็มีรถเก๋งสีขาว ยี่ห้อฮอนด้า เข้ามาจอด เธอยกกระเป๋าขึ้นไว้เบาะหลัง ส่วนตัวเธอขึ้นไปนั่งคู่คนขับรถ นักสืบมองเห็นคนขับเป็นชายหนุ่มหน้าตา จึงรีบรายงานให้ผู้ว่าจ้างทราบ สามีเธอจึงแกล้งโทรไปหา เธอบอกว่า “วันนี้น้องสาวมารับไม่ได้เพราะไม่ว่าง ตอนนี้นั่งแท็กซี่กลับเอง ฝนตกหนัก น้ำท่วม รถติดมากเลย “ “ตอแหลชัดๆ” ร้อนตับจะแตกอยู่แล้วบอกฝนตก ก็นักสืบขับรถตามอยู่เนี่ย ไม่เห็นมีวี่แววฝนจริง ฝนเทียมไหนจะมาตก ดิฉันเลยบอกผู้ว่าจ้างให้เฉยๆ ไว้ใจเย็นๆ ดูเธอไปก่อนว่าจะไปไหน หลังจากออกจากสนามบินแล้วหนุ่มนั่นก็ขับรถตรงไปส่งที่บ้าน เอากระเป๋าเสื้อผ้าลงไว้ พาลูกชายออกไปซื้อของเล่นที่ห้างใกล้บ้าน ซึ่งมีหนุ่มขับรถให้ เสร็จแล้วพาลูกมาส่งที่บ้านแล้วเธอก็ออกไปกับหนุ่มสองคน จากการเล่าลักษณะของหนุ่มนั้นให้ผู้ว่าจ้างฟังแล้ว ก็เป็นคนเดียวกันที่เขาสงสัยนั่นเองที่อ้างว่าเป็นเพื่อนเก่า เขาจึงโทรไปถามแม่ยายว่าเธอไปไหน แม่ยายบอกว่าไปกับเพื่อนเก่า เพื่อนคนนี้ไม่มีอะไรไว้ใจได้ ไม่ต้องห่วงหรอก พอได้ยินแม่ยายพูดแบบนั้น ลมออกหูเลย เขาเก็บอาการไม่อยู่โทรศัพท์สั่งนักสืบห้ามคลาดสายตาเป็นอันขาด และต้องคอยรายงานให้เขาทราบทุกฝีก้าวที่เป้าหมายขยับ “โอ้แม่เจ้า.” บางทีเป้าหมายยังไม่ขยับเลย โทรมาแล้ว อยู่ไหนกัน ทำอะไรกัน เป็นไงบ้าง ใจเย็นๆนะคะ ถ้าเคลื่อนไหวจะรายงานคะ “สุดยอดอ่ะ จิกยิ่งกว่าแม่ไก่อีก” วันแรกยังไม่มีอะไรที่น่าเกินเลย เพราะทั้งสองไปกินข้าวที่ร้านอาหารแล้วก็ส่งเธอกลับบ้าน เช้าวันรุ่งขึ้นทีมงานนักสืบ เฝ้าหน้าบ้านแม่ของเป้าหมายหญิง เห็นเด็กชายออกมาเดินเล่นหน้าบ้านกับหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นยาย พอสายๆ ก็เข้าบ้าน ยังไม่เห็นเธอเลยวันนี้ มีรถเก๋งคันเมื่อวานมาจอดที่หน้า เป็นชายหนุ่มคนเดิม ลงจากรถแล้วเปิดประตูเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย...หายไปพักนึงหนุ่มคนนั้นเดินออกมาพร้อมเธอ (ทุกระยะไม่ลืมที่รายงานให้ผู้ว่าทราบ ไม่งั้นหูดับแน่) เธอนั่งรถออกไปพร้อมกับหนุ่มสองคน ซึ่งทั้งสองไปที่บ้านส่วนตัวของฝ่ายชาย เข้าไปในบ้านหายไป 3 ชั่วโมง นักสืบก็สันนิฐานไม่ได้ว่าเขาไปทำอะไรกัน แต่ผู้ว่าจ้างจินตนาการคิดไปสารพัดแล้ว “ว่ามันต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้กัน” ในบ้านหลังนี้ยังคนอื่นอีก 2-3 คนที่อาศัยอยู่เพราะนักสืบเห็นเดินเข้า-ออก หลังจากนั้นทั้งสองออกจากบ้าน แล้วก็ขับรถไปที่วัดแห่งหนึ่ง ถวายสังฆทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา ผู้ว่าจ้างถามว่า “ทำไมเขาถึงไปทำบุญด้วยด้วยกัน ไปในฐานะอะไร” งงซิเราจะตอบยังไง ก็ไม่รู้ซินะ! “คงชวนกันมาทำบุญเฉยๆมั่งค่ะ” เอางี้คุณนักสืบเข้าไปถามพระให้หน่อยว่า “เขาบอกพระว่าอย่างไร เขาเป็นอะไรกันที่มาทำบุญด้วยกัน” อุ้ยแม่เจ้า! พระท่านจะถามเหรอว่า “โยมทั้งสองมาในฐานะอะไรกัน” “เอางี้แล้วกันนะพี่เดี๋ยวนักสืบจะเข้าไปนั่งถวายสังฆทานใกล้ๆเธอนะคะ “คุณนักสืบอย่าลืมฟังมาด้วยนะครับว่าเขาอธิษฐานอะไรกัน” ส้มโอและคุ๊กกี้ พยายามเข้านั่งใกล้เป้าหมายทั้งสองแล้ว คอยฟังว่าเธอจะอธิษฐานอะไรกัน แต่ไม่มีแม้แต่เสียงเร็ดรอดออกมาเลย แหม่.. คนเราส่วนใหญ่เวลาอธิษฐานก็อยู่ในใจใช่มั้ยคะ ไม่มีใครใส่ไมล์อธิษฐานหรอกนะคะ เดี๋ยวคนข้างๆ ก็รู้หมดซิ เรื่องไม่จบแค่นี้ หลังจากที่ทั้งสองออกจากวัดแล้วไปแวะร้านขายต้นไม้ เป้าหมายทั้งสองลงเดินเข้าไปดูต้นไม้ในสวนซึ่งร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยตัน “คุณนักสืบเข้าไปเลยพี่ว่ามันต้องไปเปลี่ยนบรรยากาศกันแน่ๆๆ มันอาจจะเข้าไปลูบคล่ำ หรืออาจจะไปมีอะไรกัน.. ” โอ้ย! คิดไปได้ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองเดินหิ้วต้นไม้กลับไปที่บ้าน... ซึ่งผู้ว่าจ้างเช็คไปหาแม่ยายแล้ว บอกว่าลูกสาวซื้อต้นไม้มาฝาก (เข้าทางแม่ซะด้วย) หลังจากนั้นเธอบินกลับที่จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ว่าจ้างมาถามนักสืบว่า คุณว่าเขาเป็นชู้กันหรือเปล่า เท่าที่เห็นเราฟันธงไม่ได้หรอกคะ เพราะเขาบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ภายนอกก็ดูปกติ แต่เหตุการณ์ในบ้านหรือที่ลับตาก็ไม่ทราบคะว่าเขามีอะไรกันหรือไม่ คนเราถ้าคิดมากไป ระแวงมากไปชีวิตมันอาจไม่มีความสุข ปัญหาที่เกิดบางครั้งอาจมาจากตัวเราก็เป็นได้ ลองสำรวจดูตัวเองบ้างนะคะ มีปัญหาปรึกษานักสืบกุ้งได้คะ