กรรมการนิติบุคคลทำความเสียหายให้กับนิติบุคคลฟ้องร้องได้|กรรมการนิติบุคคลทำความเสียหายให้กับนิติบุคคลฟ้องร้องได้

กรรมการนิติบุคคลทำความเสียหายให้กับนิติบุคคลฟ้องร้องได้

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

กรรมการนิติบุคคลทำความเสียหายให้กับนิติบุคคลฟ้องร้องได้

  • Defalut Image

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8157/2561

บทความวันที่ 12 มี.ค. 2568, 10:43

มีผู้อ่านทั้งหมด 650 ครั้ง


กรรมการนิติบุคคลทำความเสียหายให้กับนิติบุคคลฟ้องร้องได้

             ท่านสามารถโทรปรึกษาข้อกฎหมายกับทีมงานทนายคลายทุกข์ได้ที่ 02-9485700
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8157/2561
           จำเลยทั้งสองบันทึกข้อตกลงในฐานะผู้แทนนิติบุคคลของบริษัท ป. และโจทก์ที่ 1 เท่านั้น  จึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองให้ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวตาม ป.พ.พ.มาตรา 1167, 70 วรรคสอง, 820 การที่โจทก์ทั้งสองจะฟ้องขอเพิกถอนบันทึกข้อตกลงโจทก์ทั้งสองต้องฟ้องบริษัท ป. โจทก์ทั้งสองจะมาฟ้องจำเลยทั้งสองไม่ได้เนื่องจากเป็นการกระทบสิทธิของบริษัท ป.โดยตรง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2560
            แม้ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการติดตั้งระบบเครื่องปรับอากาศให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในหนังสือที่ติดต่อกับโจทก์โดยมิได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 เพื่อแสดงว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และโจทก์จะได้สั่งจ่ายเช็คค่าจ้างให้ในนามของจำเลยที่ 2 มิได้สั่งจ่ายในนามของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการบริษัทลงลายมือชื่อและรับชำระเช็คที่จ่ายเป็นค่าจ้างไว้แทนจำเลยที่ 1 จะถือว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมเข้าผูกพันร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะคู่สัญญากับโจทก์หาได้ไม่  แต่เป็นการกระทำในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5346/2563 
          ป.พ.พ.มาตรา 900 วรรคหนึ่งบัญญัติให้บุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คก็ได้ และตามมาตรา 901 บัญญัติให้บุคคลผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คปฎิเสธความรับผิดตามเนื้อหาในเช็คได้ก็ต่อเมื่อกระทำแทนบุคคลอื่น และเขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอื่นเท่านั้น เช็คพิพาทมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายโดยไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 อันจะถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คและไม่ได้เขียนข้อความให้เห็นว่า กระทำแทนจำเลยที่ 1 เช่นนี้ ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำในนามส่วนตัวด้วย และต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คซึ่งมีมูลหนี้จากการที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าจ้างผลิตสินค้าให้โจทก์ และเมื่อมีการชำระเงินตามเช็คเพียงบางส่วนยังไม่ครบถ้วนจำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินในส่วนที่ค้างชำระแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2553
             ป.พ.พ.มาตรา 1167 บัญญัติว่าความสัมพันธ์ระหว่างกรรมการและบริษัทและบุคคลภายนอกนั้น ท่านให้บังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยตัวแทน  ตามบทบัญญัติดังกล่าว หากจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการในขอบอำนาจกรรมการของจำเลยที่ 1 แล้ว กิจการดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อได้ความว่าในการทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 4 นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการโดยมอบอำนาจให้ ว. ดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 มีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 4 ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2542 ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ภายในเงื่อนเวลาที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต้องปฎิบัติการชำระหนี้ต่อกันอยู่ และจำเลยที่ 1 ยังไม่มีการบอกเลิกสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพิ่งมีหนังสือบอกเลิกสัญญากับโจทก์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2542 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมทราบดีว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การใช้สิทธิของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์นั้นเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะอ้างสิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมายนี้มาต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นความรับผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้ไม่
           จำเลยที่ 4 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทไว้กับโจทก์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อจำเลยที่ 4 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนการได้มาโดยสุจริตกับพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว แม้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้และต้องเสียเปรียบจากการจดทะเบียนนั้นก็ตาม โจทก์ก็หามีสิทธิเรียกให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนนั้นได้หรือไม่

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก